27 ต.ค. เวลา 04:06 • การตลาด

เคยสะดุด…ยังขอสินเชื่อได้ไหม?

ถ้าในอดีตคุณเคยพลาดนัดบ้าง—ชำระช้า, รีสตรักฯ, หรือมีรอยค้างในรายงานเครดิต—ใช่ว่าประตู สินเชื่อsme จะปิดตาย ธนาคารไทยยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ “ความจริงปัจจุบันมากกว่าความผิดพลาดในอดีต” โดยจะส่องลึกว่า วันนี้คุณ จ่ายไหวแค่ไหน มี วินัยทางการเงินฟื้นแล้วหรือยัง และ ใช้เงินกู้ถูกงานหรือไม่ ซึ่งเป็นสามแกนหลักที่บทความต้นทางของ EasyCashflows สรุปไว้ชัดเจน พร้อมวิธีเตรียมตัวเชิงปฏิบัติสำหรับผู้กู้ที่เคยสะดุดมาแล้ว (ดูหัวข้อ “ธนาคารมองอะไรเมื่อผู้กู้เคยสะดุด”).
1) “จ่ายไหวจริงไหม” = ดูที่ DSCR ก่อน
สิ่งแรกที่ฝ่ายอนุมัติเช็กคือ DSCR หรือสัดส่วนเงินสดคงเหลือเทียบค่างวดรวม วิธีจำง่าย ๆ คือ ทุก 1 บาทของค่างวด ต้องมี เงินสดคงเหลืออย่างน้อย 1.2 บาท (ยิ่งได้ 1.3 ขึ้นไปยิ่งสวย) หากต่ำกว่า 1.2 แบงก์จะมองว่ากันชนบางเกินไป คำแนะนำในบทความหลักคือ “ดันตัวเศษ ลดตัวส่วน”: เพิ่มรายได้ที่ เข้าแบงก์จริง, ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น หรือปรับโครงสร้างก้อนกู้—
เช่น ยืดอายุ Term Loan เพื่อลดค่างวด หรือย้ายบางส่วนไปเป็นวงเงินหมุนเวียนแทนเงินสั้นดอกแพง เพื่อให้ DSCR ขยับกลับสู่โซนปลอดภัย.
บริบทกว้างก็ไปในทิศทางเดียวกัน: ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด “Responsible Lending” ให้ผู้ให้กู้พิจารณาความสามารถชำระหนี้อย่างเหมาะสมตลอดวงจรหนี้—เน้น “วงเงินพอดีกับจ่ายไหว” มากกว่าผลักลูกหนี้ให้รับภาระเกินกำลัง นี่จึงเป็นเหตุผลเชิงนโยบายที่ทำให้เกณฑ์ DSCR/กันชนเงินสดถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในปี 2567–2568.
2) “วินัยฟื้นหรือยัง” = ดูพฤติกรรมจริง 1–3 เดือนล่าสุด
ต่อให้เคยมีรอยในบูโรมาก่อน หากปัจจุบัน ไม่มีค้างใหม่ เคลียร์เก่าแล้ว และพฤติกรรมบัญชีดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โอกาสอนุมัติก็ยังมี โดยสัญญาณที่แบงก์อยากเห็นคือ:
• ใช้ OD เฉลี่ยไม่เกิน ~70% ของเพดาน (ไม่อัดเต็มเพดานต่อเนื่อง)
• รายได้วิ่งเข้า “บัญชีธุรกิจเดียว” และตัวเลขบน POS/แพลตฟอร์ม แมตช์กับสเตทเมนต์
• มี Cash Flow 13 สัปดาห์ อัปเดตสม่ำเสมอ—ไฟล์สั้น ๆ ที่พิสูจน์ได้ว่า “ตารางเงินเข้า–ออก” รองรับค่างวดจริง
• ทำแผน “30–60–90 วัน” เพื่อโชว์วินัยที่ต่อเนื่อง (เช่น 30 วันกด OD <70%, 60 วันล็อกตารางเงินเข้า–ออก, 90 วันแนบจดหมายชี้แจงเหตุสะดุดพร้อมหลักฐาน)
ทั้งหมดนี้ถูกสรุปไว้เป็นขั้นตอนในบทความหลัก และเป็น “ภาษากลาง” ที่คณะอนุมัติอ่านแล้วเข้าใจตรงกันว่าคุณกลับมาคุมเงินสดได้จริง.
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมนโยบายก็เอื้อให้ธนาคาร “ช่วยลูกค้าฟื้นสภาพ” มากขึ้น ทั้งมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามแนวทาง Responsible Lending และความร่วมมือของระบบธนาคารที่ลดภาระดอกเบี้ยกลุ่มเปราะบางชั่วคราวเพื่อประคองการฟื้นตัวของรายย่อยและ แหล่งเงินทุน สำหรับ SME.
3) “ใช้เงินถูกงานไหม” = แยกงานถี่–งานยาวให้ชัด
ข้อที่มัก “ชี้เป็นชี้ตาย” คือการ จับคู่ประเภทสินเชื่อกับวัตถุประสงค์ ให้ถูกต้อง:
• รายจ่ายถี่ ๆ (วัตถุดิบสด ค่าแรง ค่าส่ง) → วงเงินหมุนเวียน/ OD ดึง–โปะตามรอบจริง
• รายจ่ายยาว (เครื่องจักร รีโนเวต ระบบ) → Term/Working Capital ผ่อนคงที่ อายุเงินใกล้เคียงอายุสินทรัพย์
เหตุผลก็ตรงไปตรงมา: ถ้าคุณเอา OD (เงินสั้น) ไปอุดงานยาว มักค้างเต็มเพดาน ดอกบาน และทำให้ DSCR ดำดิ่ง—ซึ่งเป็นสัญญาณเสี่ยงในสายตาฝ่ายอนุมัติ ขณะที่โครงสร้างที่ถูกต้องจะทำให้ “ค่างวดพอดีมือ” เงินสดเหลือเพิ่ม และคะแนนความน่าเชื่อถือดีขึ้นในสายตาแบงก์ ช่วยเปิดทางสู่ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และโอกาสขยับต่อไปเป็น สินเชื่อ SME วงเงินสูง เมื่อผลประกอบการนิ่ง.
4) “ทางลัดในระบบ” เมื่อทรัพย์ค้ำจำกัด แต่ตัวเลขเดินจริง
ผู้กู้ที่ “กระแสดี–วินัยดี–แต่ทรัพย์ค้ำจำกัด” ยังมีเครื่องมือในระบบช่วยปลดล็อก เช่น การค้ำประกันสินเชื่อโดย บสย. ซึ่งปี 2568 มีกรอบวงเงินค้ำขนาดใหญ่เพื่อพยุง SME เข้าถึงทุนในระบบมากขึ้น (เจ้าของกิจการควรคำนวณความคุ้ม—กำไรเพิ่มจากวงเงิน ต้องมากกว่า ค่าค้ำรวม).
ฝั่งซอฟต์โลนของรัฐก็ยังทำหน้าที่ “ลดต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ย” ผ่านโครงการที่ให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ต้นทุนต่ำให้สถาบันการเงินไปปล่อยต่อแก่ SME ด้วยกรอบดอกเบี้ยไม่เกินราว 3.5% ต่อปี—เป็นอีกทางที่ช่วยประคองผู้กู้ที่ฟื้นวินัยแล้ว แต่ยังต้องการเวลาสร้างกันชนเงินสด.
สรุปแบบ Teaser: “อดีตสะดุด” ไม่ได้แปลว่า “อนาคตปิดประตู”
สำหรับผู้ประกอบการที่อยากเข้าถึง สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อย่างปลอดภัยในระบบ หัวใจคือพิสูจน์ 3 เรื่อง: จ่ายไหว (DSCR ≥ ~1.2–1.3), วินัยฟื้น (บัญชีเดียว–OD ไม่เกิน ~70%–มี Cash Flow 13 สัปดาห์), และ ใช้เงินถูกงาน (แยก OD vs Term ให้ชัด) เมื่อทำครบ การเจรจาวงเงินกับธนาคารจะง่ายขึ้น ทั้งสำหรับวงเงินเริ่มต้นและการไต่เพดานสู่ สินเชื่อ SME วงเงินสูง ในจังหวะที่พร้อม
โฆษณา