เมื่อวาน เวลา 06:28 • กีฬา

ถอดรหัส Jürgen Klopp ชายผู้เปลี่ยนสโมสรฟุตบอล ด้วยพลังของ “คน”

เรียกได้ว่าเป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ Jürgen Klopp ที่ได้ไปเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังหลาย ๆ อย่างผ่านทางช่องพอดแคสต์ชื่อดังอย่าง The Daiary of A CEO โดย Steven Bartlett
เมื่อปีที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าการตัดสินใจของ Klopp อาจเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ช็อกโลกฟุตบอลมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อ Klopp ประกาศวางมือจากสโมสรที่เขารักอย่าง Liverpool
หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเขาถึงเลือกเดินจากไป ในช่วงเวลาที่ยังอยู่บนจุดสูงสุด คำตอบที่เขาให้ไว้อย่างตรงไปตรงมาก็คือ ‘เขาหมดพลังงาน’
แต่คำว่า ‘หมดพลัง’ ของชายคนนี้ มันมีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย
หากเราอยากเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ และปรัชญาที่สร้างชายคนนี้ขึ้นมา เราอาจต้องย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของเขา
เรื่องราวของ Klopp ไม่ได้เริ่มในสนามฟุตบอลที่สวยงาม แต่เริ่มในครอบครัวชาวเยอรมันธรรมดา เขามีแม่ที่เปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใย
ในขณะเดียวกัน เขาก็มีพ่อที่เป็นเซลส์แมน ผู้มีความคาดหวังในตัวลูกชายสูงลิ่ว พ่อของเขาเป็นนักกีฬาตัวยง และอยากให้ลูกชายเก่งกีฬาทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเทนนิส สกี หรือฟุตบอล
ความสัมพันธ์กับพ่อค่อนข้างซับซ้อน เมื่อ Klopp เริ่มทำได้ดี พ่อก็จะบอกเสมอว่า ‘ยังดีไม่พอ’
Klopp เคยเล่าว่า พ่อไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ แม้แต่การแข่งสกีเล็กๆ หรือการแข่งวิ่งในครอบครัว พ่อไม่เคยปล่อยให้เขาชนะเลยสักครั้ง
1
แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่มันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็น ‘นักสู้’ ที่ไม่เคยยอมแพ้
แต่ปัญหาก็คือ แม้จะถูกผลักดันขนาดนั้น Klopp กลับไม่เคยเชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านฟุตบอล เขามองว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเก่งกว่าเขาเสมอ
เขาจึงคิดว่า ทางเดียวที่เขาจะสู้คนเหล่านั้นได้ คือการทุ่มเททุกอย่างที่มีลงไปในสนาม เขาต้องเป็น ‘นักรบ’ ตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้าย
Klopp เคยบอกว่าตัวเอง ‘ไร้ประโยชน์’ ในเรื่องส่วนใหญ่ แต่ในสนาม เขาคือคนที่วิ่งสู้ฟัดจนหมดแรง
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เกิดขึ้นตอนอายุ 20 ปี เมื่อเขาย้ายไปเล่นฟุตบอลที่ Frankfurt (แฟรงก์เฟิร์ต) ที่นั่น เขาได้พบกับภรรยาคนแรก และไม่นานเธอก็ตั้งท้อง ในปี 1988 เขากลายเป็นพ่อคนในวัยเพียง 21 ปี
Klopp ยอมรับว่าเขากลัวมากในตอนแรก เขารู้สึกว่ามันเร็วเกินไป
แต่คืนที่ลูกชายของเขา Marc (มาร์ก) ลืมตาดูโลก คือคืนที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
มันคือคืนที่บีบให้เขาต้อง ‘โตเป็นผู้ใหญ่’ อย่างแท้จริง จากเด็กหนุ่มที่ไร้ทิศทาง เขากลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ เขาต้องทำงานสองจ๊อบ ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอลกึ่งอาชีพในลีกระดับสามของเยอรมนี
ชีวิตที่หนักหนาสาหัสในตอนนั้น ได้สอนบทเรียนล้ำค่าที่ชื่อว่า ‘วินัย’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เรียนรู้จากที่บ้านเลย
ประสบการณ์นี้เอง ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่เข้าใจลูกทีมในระดับที่ลึกซึ้ง เขารู้ดีว่านักเตะอายุ 21 ที่มีลูกแล้ว กับนักเตะอายุ 21 ที่ยังใช้ชีวิตโสด มีโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และโชคชะตาก็พาเขามาสู่อาชีพผู้จัดการทีมแบบไม่ทันตั้งตัว ที่สโมสร Mainz 05 (ไมนซ์ 05) ที่เขากำลังค้าแข้งอยู่ ตอนนั้นทีมกำลังอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เสี่ยงต่อการตกชั้น ผู้จัดการทีมคนเก่าจึงเรียกประชุมนักเตะ
เขาถามคำถามชี้เป็นชี้ตายในห้องแต่งตัวว่า ‘พวกคุณยังเชื่อใจผมอยู่ไหม?’
Klopp ในฐานะหนึ่งในผู้นำทีม เป็นตัวแทนตอบกลับไปสั้นๆ ว่า ‘ไม่’
ผู้จัดการทีมคนนั้นจึงถูกไล่ออกทันทีในวันต่อมา
สโมสรต้องหาคนใหม่มาแทน แต่พวกเขามีเวลาเพียงสามวันก่อนเกมถัดไป ซึ่งมันไม่ทัน พวกเขาจึงหันมาหา Klopp นักเตะที่ทุกคนในทีมให้ความเคารพ แล้วถามว่า ‘นายช่วยคุมทีมชั่วคราวได้ไหม?’
Klopp ตอบตกลง… และเกมนั้น Mainz 05 ก็ชนะ
เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาชนะถึง 6 จาก 7 เกมแรกภายใต้การคุมทีมของ Klopp และรอดตกชั้นอย่างปาฏิหาริย์ จากสถานะนักเตะ เขากลายเป็นผู้จัดการทีมของเพื่อนๆ ในชั่วข้ามคืน
คำถามคือ คนที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมเลย ทำไมถึงพลิกสถานการณ์ได้ขนาดนี้?
คำตอบคือ Klopp มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ ‘ความเชื่อ’
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ‘นี่คือทีม Mainz 05 ชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา’ เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของทีมอย่างสุดหัวใจ ทั้งที่ยังไม่มีใครมองเห็นมัน
แน่นอนว่าเขาเริ่มจากแท็กติก เขานำระบบการป้องกันที่เรียกว่า ‘Ball-Oriented Defending’ ที่เคยเรียนรู้จากโค้ชที่เขาเคารพอย่าง Wolfgang Frank กลับมาใช้
มันคือการเปลี่ยนทีมให้กลายเป็น ‘เครื่องจักร’ ที่วิ่งสู้ฟัดไม่หยุด ทำให้คู่ต่อสู้เล่นได้ยากที่สุด
แนวคิดนี้เอง ที่ต่อมาถูกเรียกว่า ‘Heavy Metal Football’
ชื่อนี้เกิดขึ้นตอนที่นักข่าวพยายามเปรียบเทียบสไตล์ของเขากับ Arsène Wenger ผู้จัดการทีม Arsenal ในตำนาน
Klopp บอกว่า ‘ฟุตบอลของ Wenger เปรียบเหมือนวงออร์เคสตราที่นุ่มนวล แต่ทีมของเขาเล่นเหมือนวงดนตรีเฮฟวีเมทัล’
มันคือฟุตบอลที่ดุดัน ใช้พลังงานสูง และเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม
เพราะเขาเชื่อว่า ‘อย่าเสียเวลากับการเล่นแบบออมแรง’ คุณมี 90 นาทีในสนาม จงทุ่มเททุกอย่างที่มี เพื่อสร้างโอกาสในการคว้าชัยชนะ
แต่แท็กติกเป็นเพียงส่วนเดียว หัวใจสำคัญที่ทำให้ Klopp แตกต่างจากผู้จัดการทีมคนอื่น คือปรัชญาการบริหาร ‘คน’
เขามองว่าหน้าที่ของผู้นำ คือการทำให้เป้าหมายชัดเจน จนทุกคนเดินไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องคอยผลักดันพวกเขาทุกวัน
และที่สำคัญ เขาไม่เชื่อในการปฏิบัติต่อนักเตะทุกคนเหมือนกันเป๊ะๆ
Klopp บอกว่านักเตะแต่ละคนมาจากพื้นเพที่แตกต่างกัน มีเรื่องราวชีวิตที่ไม่เหมือนกัน นักเตะที่โตในเยอรมนี ย่อมต้องการการดูแลที่ต่างจากนักเตะที่โตใน Senegal
กฎระเบียบพื้นฐาน เช่น การตรงต่อเวลา อาจต้องเหมือนกัน แต่การสื่อสารส่วนตัวและการกระตุ้น ต้องแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ตัวอย่างเช่นการดูแล Sadio Mané กับ Mohamed Salah แม้จะเป็นนักเตะระดับโลกทั้งคู่ แต่มีบุคลิกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง Klopp เข้าใจว่าการพูดคุยกับทั้งสองคน ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน
เขาเคยกล่าวไว้ว่า ‘มันไม่สำคัญว่าคุณอยากจะพูดอะไร แต่มันสำคัญกว่าว่าพวกเขาจำเป็นต้องได้ยินอะไร’ นี่คือแก่นแท้ของการเป็นผู้นำในแบบของเขา
ปรัชญานี้พา Mainz 05 เลื่อนชั้นสู่ Bundesliga ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ก่อนที่เขาจะไปสร้างตำนานบทใหม่ที่ Borussia Dortmund พาทีมคว้าแชมป์ลีกและท้าทายยักษ์ใหญ่ของยุโรป
และท้ายที่สุด คือการเดินทางมายัง Liverpool ในปี 2015 ที่ซึ่งปรัชญาของเขาได้เบ่งบานอย่างเต็มที่
ตอนที่เขามาถึง Liverpool สโมสรกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สับสนและขาดความเชื่อมั่น แฟนบอลสิ้นหวังกับผลงานของทีม
เขาประกาศตัวในงานแถลงข่าววันแรกว่าเขาคือ ‘The Normal One’ หรือคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้น มันไม่ธรรมดาเลย สิ่งแรกที่เขาทำไม่ใช่การทุ่มเงินซื้อนักเตะซูเปอร์สตาร์ แต่คือการสร้าง ‘วัฒนธรรมองค์กร’ ขึ้นมาใหม่
เขาเชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากนักเตะ 11 คนในสนาม แต่มาจาก ‘ทุกคน’ ในสโมสร
Klopp ให้ความสำคัญกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานในครัว คนดูแลชุดแข่ง หรือแม้แต่คนสวนที่ดูแลสนามซ้อม เขาทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญต่อความสำเร็จของทีม
เพราะเขาเชื่อว่า ‘ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่คนอื่นทำ คุณก็จะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เพื่อนร่วมทีมของคุณทำ’
เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงเรื่องเล่าในสโมสร Manchester United คู่ปรับตลอดกาลของ Liverpool
มีคนเคยไปถามพนักงานในโรงอาหารว่า อะไรคือความแตกต่างที่ชัดที่สุด หลังจากยุคของ Sir Alex Ferguson สิ้นสุดลง
คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่เรื่องแท็กติกการเล่น แต่คือ ‘ผู้จัดการทีมคนใหม่จำชื่อพวกเราไม่ได้’
สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ คือภาพสะท้อนของวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่
Klopp เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้สร้างแค่ทีมฟุตบอล แต่เขาสร้าง ‘ครอบครัว’ ที่ทุกคนพร้อมจะ ‘เดินลุยไฟ’ ไปด้วยกัน
เขาเปลี่ยนบรรยากาศในสโมสร สร้างโลกของตัวเองขึ้นมา โลกที่เสียงของเขามีความหมายมากกว่าเสียงวิจารณ์จากสื่อภายนอก
เมื่อทีมแพ้ เขาจะไม่โทษนักเตะ แต่จะบอกว่านี่คือ ‘ข้อมูลที่สำคัญมาก’ ที่เราต้องเรียนรู้จากมัน
มีครั้งหนึ่งที่ Liverpool แพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรป ทุกคนในทีมผิดหวัง แต่คืนนั้น Klopp กลับลากทุกคนลงมาที่งานเลี้ยง
เขาบอกกับลูกทีมว่า ‘นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง และครั้งหน้าเราจะเป็นผู้ชนะ’ เขาเปลี่ยนความผิดหวังให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อน
ทั้งหมดนี้คือปรัชญาของ Jürgen Klopp มันคือการใช้พลังงานมหาศาลในทุกวัน เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งจากภายใน
เขาไม่ได้แค่สั่งการอยู่ข้างสนาม แต่เขาใช้ ‘หัวใจ’ นำทีม
และนี่… ก็คือคำตอบว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจจากไป
Klopp นิยามบทบาทของตัวเองว่าเป็น ‘ผู้ให้พลังงาน’ (Energy Giver) เขาคือคนที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้คนรอบข้างเสมอ
เขาต้องเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของเกมตลอดเวลา เพื่อผลักดันให้ทุกคนก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าพลังงานในตัวเขากำลังจะหมดลง เขาไม่สามารถเป็นคน ๆ นั้นได้อีกต่อไป
การใช้หัวใจนำทีมทุกวันตลอด 9 ปี มันสูบฉีดพลังงานชีวิตของเขาไปมากกว่าที่ใครจะจินตนาการได้
การตัดสินใจของเขาจึงไม่ใช่การหนีปัญหา แต่มันคือความรับผิดชอบในแบบของเขาเอง เขาไม่ต้องการรอจนวันที่ทุกคนเห็นว่าเขาไม่เหมือนเดิม แล้วค่อยถูกไล่ออก เขาเลือกที่จะเดินจากไป ในวันที่ทุกคนยังรักและจดจำเขาในภาพที่ดีที่สุด
เรื่องราวของ Jürgen Klopp จึงเป็นมากกว่าเรื่องราวของความสำเร็จในสนามฟุตบอล
แต่มันคือบทเรียนที่ว่า การสร้างองค์กรที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้วัดกันที่งบประมาณมหาศาล หรือกลยุทธ์ที่ซับซ้อน แต่มันวัดกันที่ ‘หัวใจ’ และ ‘ความสัมพันธ์’ ของคนในองค์กร
มันคือการสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของ และพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพราะในท้ายที่สุด ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ อาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด หรือมีแท็กติกที่ล้ำลึกที่สุด
แต่คือคนที่สามารถทำให้คนรอบข้าง ดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้
และนั่นคือสิ่งที่ Jürgen Klopp ทำมาตลอดชีวิตการทำงานของเขา
References : ช่อง Yotutube : The Daiary of A CEO โดย Steven Bartlett
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา