27 ต.ค. เวลา 14:09 • คริปโทเคอร์เรนซี

Final Messages คำเตือนสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto “ยังมีวิธีโจมตีอีกนับไม่ถ้วน”

ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งบาดแผลลึกไว้ให้กับผู้คน มันได้เผยให้เห็นจุดอ่อนมากมาย ของระบบการเงินและการเมืองที่เราคุ้นเคย
ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม ความโกรธแค้นปะทุขึ้น ความเชื่อมั่นต่อธนาคารและสถาบันการเงินดั้งเดิมพังทลาย
ในขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงอย่าง Tea Party หรือ Occupy Wall Street ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน อีกฟากหนึ่งของโลกดิจิทัล องค์กรอย่าง WikiLeaks ก็กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือน
เป้าหมายของพวกเขาดูคล้ายกัน นั่นคือการทวงคืนอำนาจจากกลุ่มชนชั้นสูง กลับมาสู่มือของคนธรรมดา
ท่ามกลางความโกลาหลและความสิ้นหวังนี้เอง โซลูชันทางเทคโนโลยีหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ
มันคือ “Bitcoin”
Bitcoin ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่สวรรค์ส่งมา มันเข้ามาในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังแสวงหาทางเลือกใหม่พอดี หลายคนถึงกับยอมทิ้งชีวิตเก่า ๆ เพื่อไล่ตามเทคโนโลยีนี้ แต่ในตอนเริ่มต้น Bitcoin แทบไม่ต่างอะไรจาก “เงินในเกม”
คำถามคือ ทำอย่างไรให้เงินดิจิทัลที่มองไม่เห็นนี้ กลายเป็นเงินจริงที่จับต้องได้?
โครงการแรก ๆ ที่พยายามทำเรื่องนี้ กลับเป็นอะไรที่เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ มันคือ “Bitcoin faucet”
Bitcoin faucet เป็นเว็บไซต์ธรรมดา ๆ ที่พร้อมแจก 5 Bitcoins ให้ฟรี ๆ กับทุกคนที่มาลงทะเบียน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ผู้สร้างโครงการนี้คิดจริงจัง เขาคือ Gavin Andresen โปรแกรมเมอร์จากแมสซาชูเซตส์
Gavin ยินดีจ่ายเงินส่วนตัว 50 ดอลลาร์ เพื่อแลกกับ 10,000 Bitcoins มาแจก
เขาได้ยินเรื่อง Bitcoin ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 เขาเขียนในฟอรัมว่า “ผมอยากให้ Bitcoin ประสบความสำเร็จ และผมคิดว่ามันจะสำเร็จได้ ถ้าผู้คนมีเหรียญสักนิดหน่อยไว้ทดลองใช้”
Gavin เข้าใจดีว่า การจะรอให้คอมพิวเตอร์ “สร้าง” เหรียญขึ้นมาเองมันน่าหงุดหงิด และการ “ซื้อ” Bitcoins ในยุคนั้นก็ยุ่งยากแสนสาหัส
หลังจากเข้าร่วมโครงการ Gavin เริ่มส่งอีเมลหา Satoshi Nakamoto
Satoshi คือชายลึกลับ ผู้สร้าง Bitcoin ขึ้นมา Gavin แนะนำการปรับปรุงโค้ดต่าง ๆ
1
และในเวลาไม่นาน เขาก็กลายเป็นบุคคลแรก นอกเหนือจาก Satoshi ที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลง Source Code ของ Bitcoin
แต่สิ่งที่ Gavin มอบให้โปรเจกต์นี้ และอาจมีค่ามากกว่าฝีมือการเขียนโค้ด คือ “ความน่าเชื่อถือ”
Satoshi คือบุคคลนิรนาม เขาจงใจออกแบบให้ Bitcoin เป็น Open Source เพื่อให้คนเชื่อใน “ระบบ” ไม่ใช่เชื่อใน “ตัวเขา”
แต่ในโลกความเป็นจริง ผู้คนยังไม่พร้อมจะโอนเงินจริง ๆ ให้กับเครือข่ายลึกลับ ที่ดำเนินการโดยกลุ่มคนไร้ตัวตน
Gavin Andresen คือสะพานเชื่อม เขาคือโปรแกรมเมอร์ที่มีตัวตนจริง และความซื่อสัตย์ของเขาก็ช่วยให้ Bitcoin เริ่มซื้อใจผู้ใช้หน้าใหม่ได้
แต่โปรเจกต์เล็ก ๆ นี้ กำลังจะเจอกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่เปลี่ยนโลกของพวกเขาไปตลอดกาล
เว็บไซต์ข่าวชื่อดังสำหรับเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ที่ชื่อว่า “Slashdot” กำลังจะโพสต์บทความเกี่ยวกับ Bitcoin
นี่คือโอกาสที่ Bitcoin จะถูกนำเสนอต่อสายตาคนนับล้าน Martti Malmi หนึ่งในนักพัฒนายุคบุกเบิก เขียนในฟอรัมอย่างตื่นเต้น
“Slashdot! ที่มีคนอ่านสายเทคเป็นล้าน ๆ! นี่มันอาจจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย!”
แต่เขาก็แอบกังวล “ผมแค่หวังว่าเซิร์ฟเวอร์ของเราจะไม่ล่มไปซะก่อน เพื่อรองรับฝูงชนที่จะแห่กันเข้ามา”
Martti ได้ช่วยแก้ไขบทความเวอร์ชันสุดท้าย โดยพยายามลดความร้อนแรงลงเล็กน้อย เหลือแค่ว่า “ชุมชนหวังว่า สกุลเงินใหม่นี้จะอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล”
หลังเที่ยงคืนในเฮลซิงกิ บทความก็ออนไลน์ มันเป็นเพียงย่อหน้าสั้น ๆ พร้อมพาดหัวว่า:
“Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer ที่ไม่มีธนาคารกลาง และไม่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรม”
แค่นั้นเลย
Martti จับตามองตัวเลขผู้ใช้งานในฟอรัมและห้องแชท ทันใดนั้น ตัวเลขก็พุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามา การถกเถียงเกิดขึ้นอย่างดุเดือด
และแล้ว สิ่งที่ Martti กังวลก็เกิดขึ้นจริง เว็บไซต์ Bitcoin.org ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์เก่า ๆ ที่รองรับคนได้แค่หลักร้อย ก็เริ่มสะดุด
ภายในหนึ่งชั่วโมง มันก็เกินขีดจำกัด และเว็บไซต์ทั้งหมดก็… ล่ม
1
Martti พยายามดิ้นรนติดต่อบริษัท Hosting เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในขณะที่กระดานสนทนาเต็มไปด้วยความคิดเห็น ทั้งบวกและลบ ปรากฏขึ้นทุกวินาที
แต่ความโกลาหลนี้ ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของเขาลดลงเลย นี่คือสิ่งที่เขาและทีมงาน Bitcoin รอคอยมาหลายเดือน
ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกในวงการว่า “slashdotted” คือการที่เว็บไซต์เล็ก ๆ ถูกอ้างอิงโดยเว็บใหญ่ จนทราฟฟิกพุ่งสูงจนเว็บล่ม
หลังจากพายุทราฟฟิกผ่านไป Martti เห็นว่าผู้คนไม่ได้แค่เข้ามาดู พวกเขากำลังดาวน์โหลดและใช้งานซอฟต์แวร์ Bitcoin จริง ๆ
ยอดดาวน์โหลดพุ่งจากราว 3,000 ครั้งในเดือนมิถุนายน กลายเป็นมากกว่า 20,000 ครั้งในเดือนกรกฎาคม 2010
Bitcoin ได้แจ้งเกิดในหมู่โปรแกรมเมอร์แล้ว แต่เมื่อมีผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นทันที
ผู้ใช้ใหม่เหล่านี้ จะหา Bitcoin มาจากไหน? faucet ของ Gavin ที่เคยแจกฟรี 5 BTC ไม่สามารถรองรับความต้องการมหาศาลนี้ได้อีกต่อไป
มันกลายเป็นคอขวดของระบบ และช่องว่างนี้เอง ที่มีคนมองเห็นโอกาส
ชายคนนั้นคือ Jed McCaleb
Jed เป็นคนอาร์คันซอโดยกำเนิด เขามีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Berkeley
แต่เขาก็ลาออกจาก Berkeley กลางคัน และย้ายไปนิวยอร์ก ที่นั่น เขากับหุ้นส่วนได้สร้างสิ่งที่กลายเป็นตำนาน มันคือ “eDonkey” ซอฟต์แวร์ที่สืบทอดเจตนารมณ์ของ Napster
eDonkey ทำให้คนทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น ภาพยนตร์ ได้อย่างอิสระ มันประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย จนสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงของอเมริกา ต้องฟ้องร้องเขา
Jed และหุ้นส่วนต้องจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อจบคดี และต้องปิด eDonkey ลง แต่พวกเขาก็ทำเงินได้อีกหลายล้านจากมัน
Jed คือคนที่มีแนวคิด “ต่อต้านระบบ” อยู่ในสายเลือด เมื่อ Jed ได้เห็นโพสต์ของ Slashdot เกี่ยวกับ Bitcoin เขาก็ตื่นเต้นในทันที
Bitcoin ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์แนวคิดเบื้องหลัง Napster และ eDonkey นั่นคือการยึดอำนาจจากส่วนกลาง คืนให้กับคนธรรมดา
แต่เมื่อ Jed พยายามจะ “ซื้อ” Bitcoins เขาก็พบกับความยุ่งยากแบบเดียวกับที่คนอื่น ๆ เจอ เขาจึงตัดสินใจว่า “งั้นก็สร้างเว็บไซต์ของตัวเองเลยดีกว่า ที่ที่ผู้คนจะซื้อเหรียญได้ตลอดเวลา”
Jed มีประสบการณ์การเทรดเงินตราต่างประเทศอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยสร้างเว็บไซต์มาก่อน เขาเป็นโปรแกรมเมอร์สาย “Backend” หรือระบบหลังบ้าน
เว็บไซต์แลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่นี้ จึงเหมือนสนามเด็กเล่นให้เขาได้ทดลองวิชา
เขาเริ่มคิดถึงชื่อ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เขามี Domain เก่าที่ซื้อทิ้งไว้ มันคือ “mtgox.com
Jed ซื้อเว็บนี้มาตั้งแต่ปี 2007 เพื่อใช้เป็น “ตลาดแลกเปลี่ยนออนไลน์” ไว้ซื้อขายการ์ดเกมที่ชื่อ “Magic: The Gathering” มันเปิดได้ไม่กี่เดือน Jed ก็ปิดมันทิ้ง และ Domain นี้ก็ว่างเปล่ามานับตั้งแต่นั้น
เพียง 7 วันหลังจากโพสต์ของ Slashdot Jed ก็โพสต์โฆษณาเว็บไซต์ใหม่ของเขาในฟอรัม Bitcoin
“สวัสดีทุกคน, ผมเพิ่งทำเว็บแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ ช่วยบอกหน่อยว่าคุณคิดยังไง”
Mt. Gox คือการปฏิวัติวงการในตอนนั้น เพราะ Jed เสนอวิธีที่บ้าบิ่นมาก เขายอมให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชี “PayPal” ส่วนตัวของเขา นี่คือการเสี่ยงละเมิดกฎของ PayPal ที่ห้ามซื้อขายสกุลเงิน
แต่มันก็หมายความว่า Jed สามารถรับเงินได้จากเกือบทุกที่ในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าไม่จำเป็นต้องโอนเงินให้ Jed ทุกครั้งที่อยากเทรด
พวกเขาสามารถ “ฝากเงิน” ทั้งดอลลาร์ และ Bitcoin ทิ้งไว้ในบัญชีของ Jed ได้เลย เหมือนกับบัญชีซื้อขายหุ้นทั่วไป
นวัตกรรมเหล่านี้ ทำให้การซื้อขาย Bitcoin สะดวกสบายขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่มันก็นำมาซึ่งอันตรายใหม่ ที่ดูเหมือนจะขัดกับหลักการพื้นฐานของ Bitcoin อย่างสิ้นเชิง
Satoshi ออกแบบ Bitcoin มาเพื่อ “ขจัดคนกลาง” แต่ Jed กำลังตั้งตัวเองเป็น “คนกลาง” ที่ใหญ่ที่สุด
1
Bitcoin ควรจะเป็นสกุลเงินที่ผู้คนถือครองด้วยตัวเอง ปลอดภัยด้วย Private Key ที่มีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่รู้ แต่ Mt. Gox ได้เปลี่ยนโมเดลนี้ กลับไปสู่รูปแบบเดิม ๆ ที่มี “สถาบัน” เป็นศูนย์กลาง
บริษัทของ Jed คือผู้ดูแลเงินของทุกคน ถ้า Jed ทำ Private Key ของ Exchange หาย ลูกค้าของเขาก็แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
ไม่เหมือนธนาคาร ที่อย่างน้อยก็ยังมีความรับผิดชอบ Mt. Gox ไม่มีประกันเงินฝาก ไม่มีหน่วยงานใดมาคอยกำกับดูแล
มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ ระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “ความสะดวกสบาย”
เมื่อมีสมาชิกฟอรัมถามว่า ทำไมพวกเขาควรเลือก Mt. Gox แทนที่จะใช้ทางเลือกอื่น Jed ตอบกลับอย่างสุภาพแต่มั่นใจ “มันออนไลน์ตลอดเวลา, อัตโนมัติ, เว็บเร็วกว่า และผมคิดว่าหน้าตาเว็บมันยอดเยี่ยม”
แม้แต่ Jed เองก็ยังประหลาดใจ ที่ผู้คนเชื่อใจคำพูดของเขา และส่งเงินไปยังบัญชี PayPal ของเขาอย่างง่ายดาย
ในวันแรกของการทำธุรกิจ 18 กรกฎาคม 2010 มีการซื้อขาย Bitcoin เพียง 20 เหรียญ ในราคาเหรียญละ 5 เซ็นต์ บน Mt. Gox แต่ภายในสัปดาห์แรก บางวันมียอดซื้อขายหลายร้อยดอลลาร์
และเมื่อถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม Mt. Gox ก็แซงหน้าทุกแพลตฟอร์มที่มีอยู่ กลายเป็นธุรกิจ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ปัญหาใหญ่ในฟอรัม Bitcoin คือ “จะดึงดูดผู้ใช้ใหม่ได้อย่างไร”
ตอนนี้ปัญหาได้เปลี่ยนไปแล้ว มันคือ “จะจัดการกับการไหลเข้าของผู้ใช้ใหม่ และพฤติกรรมเสี่ยง ๆ ของพวกเขาอย่างไร”
ปัญหาเหล่านี้ชัดเจนขึ้น เมื่อ Bitcoin ถูกลากเข้าไปอยู่กลางสปอตไลท์ครั้งใหญ่
ในเดือนพฤศจิกายน 2010 “WikiLeaks” องค์กรที่ก่อตั้งโดย Julian Assange ได้เปิดเผยเอกสารลับทางการทูตของอเมริกาจำนวนมหาศาล
บริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่ และ PayPal ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก ให้ตัดช่องทางการบริจาคไปยัง WikiLeaks ซึ่งพวกเขาก็ก้มหัวทำตามในช่วงต้นเดือนธันวาคม ในสิ่งที่เรียกว่า “การปิดล้อม WikiLeaks” (WikiLeaks blockade)
เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความจริงอันน่ากลัว หากนักการเมืองไม่ชอบกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เจ้าหน้าที่รัฐก็แค่ “ขอ” ให้ธนาคาร ปฏิเสธการเข้าถึงระบบการเงินของกลุ่มนั้น โดยแทบไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล
อุตสาหกรรมการเงิน ได้กลายเป็นเครื่องมือนอกกฎหมาย ให้นักการเมืองใช้ปราบปรามผู้เห็นต่าง
การปิดล้อม WikiLeaks คือสิ่งที่ Cypherpunks (กลุ่มนักเคลื่อนไหวสายเข้ารหัส) กังวลมาตลอด และ Bitcoin ดูเหมือนจะเป็นทางแก้ปัญหา
ในเครือข่าย Bitcoin แต่ละคนควบคุมเหรียญของตนด้วย Private Key ไม่มีองค์กรกลางใด ที่จะมาอายัดที่อยู่ Bitcoin ของใครได้
1
ไม่กี่วันหลังการปิดล้อมเริ่มขึ้น นิตยสาร PCWorld ได้เขียนเรื่องราวที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ชี้ให้เห็นประโยชน์ของ Bitcoin:
“ไม่มีใครหยุดระบบ Bitcoin หรือเซ็นเซอร์มันได้ หาก WikiLeaks ร้องขอ Bitcoin พวกเขาก็จะได้รับเงินบริจาค”
การถกเถียงเรื่อง Bitcoin ถูกยกระดับขึ้นมาจากเรื่องเทคนิค ไปสู่ประเด็นทางปรัชญาที่ลึกซึ้งขึ้น มันดึงดูดผู้ชมกลุ่มใหม่ และฟอรัมก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่เริ่มหันมาสนใจ
หนึ่งในนั้นคือหนุ่มชาวอังกฤษชื่อ Amir Taaki เขาเสนอไอเดียว่า “เราควรบริจาค Bitcoin ให้ WikiLeaks!”
Amir กล่าวว่า สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้ Bitcoin ขณะเดียวกันก็ช่วย WikiLeaks ให้ได้เงินทุนด้วย
เรื่องนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในฟอรัม
โปรแกรมเมอร์จำนวนมากกังวล พวกเขากลัวว่าเครือข่าย Bitcoin ยังไม่พร้อม สำหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้นจากรัฐบาล
พวกเขาหวั่นเกรงว่า หาก Bitcoin เริ่มถูกใช้เพื่อสนับสนุน WikiLeaks รัฐบาลอาจจะหาทาง “ปิด” มันทั้งระบบ
ในที่สุด Satoshi Nakamoto ก็ต้องก้าวเข้ามา เพื่อยุติการถกเถียงนี้
เขาโพสต์ข้อความสั้น ๆ แต่ชัดเจน:
“ไม่!!! อย่าเปิดรับการบริจาคให้ WikiLeaks”
“โครงการต้องค่อย ๆ เติบโต เพื่อให้ซอฟต์แวร์มีความเข้มแข็งไปพร้อมกัน”
นี่เป็นหนึ่งในการสื่อสารครั้งท้าย ๆ จากผู้สร้าง Bitcoin
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ข้อความจาก Satoshi เริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ เขาค่อย ๆ หายตัวไปจากฟอรัมและห้องแชท
ในเดือนธันวาคม Satoshi ถาม Gavin ว่า เขาต้องการให้ที่อยู่อีเมลของเขา ถูกโพสต์บนเว็บไซต์ Bitcoin เพื่อใช้ในการติดต่อหรือไม่
Gavin ตอบตกลง หลังจากนั้น อีเมลของ Satoshi ก็หายไปจากหน้าเว็บ
โพสต์ในฟอรัมสาธารณะครั้งสุดท้าย หรือ “Final Message” จาก Satoshi เกิดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2010
มันคือการประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด 0.3.19
แต่น้ำเสียงของโพสต์นี้ แตกต่างจากโพสต์แรก ๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิง ที่เคยเต็มไปด้วยความหวังและศักยภาพระดับโลก
โพสต์สุดท้ายของ Satoshi คือ “คำเตือน” ว่า Bitcoin ยังคงอ่อนไหวต่อการโจมตีอย่างมาก “ยังมีอีกหลายวิธีในการโจมตี Bitcoin มากกว่าที่ผมจะนับได้” Satoshi เขียนทิ้งท้าย
หลังจากนั้น การตามล่าหาตัวตนของ Satoshi ก็ดำเนินต่อไปอีกหลายปี
ผู้คนเริ่มวิเคราะห์ทุกตัวอักษรของเขา พวกเขาพบว่า Satoshi ใช้การสะกดคำแบบอังกฤษ เช่นคำว่า “bloody” และใน Block แรกสุดของ Bitcoin ก็มีการอ้างอิงพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ
ผู้ใช้ Bitcoin ในญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า Satoshi เป็นชื่อสามัญในญี่ปุ่น แต่เขาไม่น่าจะใช่คนญี่ปุ่น เพราะเขาไม่เคยใช้คำภาษาญี่ปุ่นเลย
การหายตัวไปของ Satoshi ทำให้ Gavin Andresen กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโปรเจกต์ Bitcoin โดยปริยาย
แต่ความลึกลับของ Satoshi ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Bitcoin ยิ่งใหญ่ การไม่เปิดเผยตัวตนของเขา ได้พิสูจน์ว่า Bitcoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น โดยบุคคลที่แสวงหาชื่อเสียงส่วนตัว
1
และการไม่มีอยู่ของ Satoshi ก็ทำให้ผู้คนสามารถ “ฉายภาพ” วิสัยทัศน์ของตนเอง ลงบน Bitcoin ได้อย่างอิสระ
เมื่อมองย้อนกลับมาในปัจจุบัน เราจะเห็นปัญหามากมาย ทั้งการฉ้อโกง การหลอกลวง ที่มักจะถูกเหมารวมไปกับชื่อของ Bitcoin
มันกลายเป็นว่า กลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลัง ที่อาศัย “ความโลภ” ของมนุษย์ กลับกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อ Bitcoin เสียเอง
ซึ่งมันก็ค่อนข้างที่จะคล้ายกับคำเตือนสุดท้าย ที่ Satoshi Nakamoto ได้กล่าวทิ้งไว้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปตลอดกาลนั่นเองครับผม
References : [wikipedia,coindesk,wired,arstechnica,forbes]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา