28 ต.ค. เวลา 02:21 • ปรัชญา
..ปฏิบัติธรรม ด้วยรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. รอยของผู้ไม่มีกรรม ยุติการเกิดแก่เจ็บตาย..เราก็นำมาฝึกหัด กายวาจาใจของเรา มาเดินในรอยทั้งสี่ .เพราะว่า จิตเราเดินทางมาอาศัยกายนี้ เรามีโอกาส แก้ไข .เวรกรรมนำเราให้มาเกิด จิตเราต้องเดินทางออกจากกายนี้ แล้วจิตเรา สะสมอะไรไปกับจ้ตที่มาอาศัยกายนี้ สร้างอะไร ทำอะไร ด้วยกายวาจาใจที่เราใช้สังขารกรรมนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องถามจิตตัวเอง เกิดมาทำอะไร จิตเราได้อะไร .ทบทวนตัวเองบ่อยๆ ทีว่ากายนี้ไม่เที่ยง กายนี้ เกิดแก่เฒ่า เจ็บตาย ..จิตต้องเดินทาง .
จิตต้องเดินทางยาวไกล มาอาศัยกายชั่วขณะหนึ่งไม่นาน มองไกลๆ จะไปทางไหน ก็อาศัยกายนี้ ทำมันขึ้นมา .วัตถุสิ่งของที่สะสมยึดถือ ทั้งมีชีวิตไม่มีชีวิต เอาไปไม่ได้ เมือจิตออกจากกาย ออกเดินทางจากกาย หนทางยาวนาน นับเวลาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะได้ไปอยู่สถานที่ใด ทุกข์หรือสุข เมื่อมีกาย ก็อาศัยกายนี้ เรียนรู้ขึ้นมา ในการเดินทางของจิต .ที่จะออกจากกายนี้ไป เรื่องราวของธรรม เราก็ควรศึกษาให้ดี เช่นเรื่องราว ธัมมจักกัปปัรัตนะสูตร พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ..ทำไม่หูทิพย์ตาทิพย์ ถึงแฃ่ซ้องอนุโมทนา ทั้งที่อยู่สูงกว่าภพมนุษย์
เรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องจองกาสร้างบุญกุศลบารมี เราได้เห็นพระผู้ใหญ่ หลายองค์ ที่ท่านมาแนะนำสอนให้ ท่านก็เริ่มต้น ตั้งแต่การ ทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง ..แล้วท่านก็พูดว่า จิตของข้าพเจ้า อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าได้นำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา และนามธรรมของคุณบิดามารดา . มากราบพระ พูดต่อ กายนิ่ง จิตเฉย .
พระอานนท์ ท่านเล่าให้ฟังว่า ว่าพระพุทธเจ้าท่านทำให้ดู เมื่อพูดว่า กายนิ่ง พอพระพุทธเจ้าพูดคำนี้ กายของท่านแข็งเป็นเหมือนเสาก้อนหินไปเลย พระอานนท์ ท่านก็บอกว่า เราไม่เคยเห็น ผู้ที่ทำกายนิ่ง ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ท่านก็นำสิ่งที่ท่านเห็นไปฝึกหัด ต่ออีกหลายวัน พอทำได้ พระพุทธเจ้า ก็ชวนพระอานนท์ ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า แล้วพระอานนท์ ก็บอกว่า ฉันบรรลุธรรม ที่ชั้นดาวดึงส์ .(ไม่ขอบอกรายละเอียด ว่าพระอานนท์ ท่านเล่าให้ฟังอย่างไร)
การพูดว่า การพูดให้หูได้ยิน นั้น เพื่อให้วิญญาณหู ส่งไปให้จิต ที่อยู่ในกายให้รับรู้ เพื่อจิตจะได้ ตื่นขึ้นมา ช่วยบังคับกายให้นิ่ง แล้วการพูด ก็เป็นการนำคำที่ดี มาพูดให้ทั้งวิญญาณหู ได้ยิน้สียงของตัวเอง ว่ากำลังทำอะไร แม้แต่กายยกมือขึ้นมาพนม ท่านก็ให้ให้พูด
มีพระ ท่านบอกว่า คำพูดที่ว่า จิตของข้าพเจ้าอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าได้นำธาตุุทั้งสองจองคุณบิดามารดามากราบพระ นั้นเป็นคำพูดที่สูง ถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ฉันได้ยินก็เลย อยากฟังด้วยตัวเอง ไหนมาพูดมาทำให้ฉันดูหน่อย คำๆนี้ หายจากโลกไปนานแล้ว ไม่ใครเค้าพูดกัน
วิญญาณหู ก็ชอบไปฟังเสียงคนอื่น .วาจาใจของคนอื่น เอามา ยึดถือ บ้างก็พูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆก็เอามทับถมกายใจของตัวเอง เสียงของตัวเอง ที่จะพูดคำสูงๆ เช่นสวดมนต์ ให้เอาวิญญาณหูตาจมูกลิ้นกายใจ มาอยู่ในตัวตน ในกาย เพื่อที่จะข่วย ขำระสร้าง ทำกายทำใจ ให้บริสุทธิ์ขึ้นมา นั้นก็ไม่มีใครสนใจที่จะเรียนรู้
เรื่องที่การปฏิบัติธรรม นำกายมาปฏิบัติธรรม ในรอยทั้งสี่ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยของผู้ที่ไม่มีกรรม ไม่มีอารมณ์โลภโกรธหลง ..ยืน เดิน นั่ง นอน. ไม่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ปรุงแต่ง เรื่องราวที่นึกคิด ขึ้นมา ที่อารมณ์เข้ามาปรุงแต่ง .. มีแต่คำว่า พุทโธ .ควบคุม กายให้นิ่ง จิตเฉย . ที่เรียกว่าปลดเปลื้องทุกข์
การรับรู้ฟังธรรม หากเราไม่ปฏิบัติธรรมขึ้นมา เราก็ไม่มีรอยทั้งสี่นี้ สะสม .ที่ว่า รอยของผู้ที่เดินหนีกรรม . รอยนี้ .หากปล่อยเวลาล่วงเลยไป ร่างกายแก่เฒ่าชรา ก็ยากที่จะ .ปฏิบัติธรรมในรเยทั้งสี่นี้ได้ พระอรหันต์ ทุกพระองค์ ท่านก็ทำตามรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสีมพุทธเจ้า
ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .ต้องปฏิบัติธรรม ไปตามรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .แล้วเราจะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยเข้าใจ ในเหตุผล ต่างๆ ของธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ช่วยปลดเปลื้อง แก้ไข เรื่องราวของกรรม ที่สะสมมากับธาตุทั้งสี่ .เราก็อาศัยรอยทั้งสี่ปฏิบัติขึ้นมา สร้างบุญกุศลบารมี คัดเอ้าท์กรรม หนีเวรกรรม
. เรื่องราวรอยทั้งสี่ ควรทำควรเข้าใจ แล้วก็ลงมือปฏิบัติขึ้นมา . หากไม่ปฏิบัติ .ก็ได้ก็ได้แต่รู้ .รู้แล้วนำไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะชีวิตเรานั้น กิริยาทั้งสี ของคนเรามันมีแต่อารมณ์ ตลอดเวลา เหมือนกรรมนั้นปรุงแต่งให้เป็นไปไม่สามารถหนุดยั้ง ว่างเว้นจากอารมณ์กรรมตัวกระทำได้เลย
ที่ว่า รวบรวมจ้ตให้เป็นหนึ่ง..เราไม่รวบรวม ไปท่องคาถาอาคม เพื่อจะมีอิทธิฤทธิ์โลกีย์ ให้พญามารส่งเสริม ขัดขวาง ภาวนาพุทโธไม่ได้ ได้แต่ท่องคาถาอาคมได้ คาถาอาคม นั่นไปเรียกคนตายมาอยู่ในตัวตน ..เมื่อไปเรียกคนตายมาอยู่ในตัวตน จิตที่มีบุญเค้าไม่มาหรอก มีแต่ของเน่าของเหม็นในกาย พวกที่จะมา ก็เปรตอสุรกาย มากัดกินอาหาร น้ำเลือดน้ำหนอง .แล้วกายนั้นจะเป็นอย่างไร ..มันไม่มีกายเป็นบุญขึ้นมาได้เลย
แต่เรารวบรวมนำมากราบพระ สวดมนต์ ที่เราจะสามารถนำไปใช้ในการ ทำบุญ ให้เกิดเป็น บุญหนุนนำกาย ทำกายกรรม ให้เป็นกายบุญ ให้กายเป็นบุญเกิดขึ้น จะได้ไปช่วยบรรเท่า ทุกข์ที่กายนี้ สะสมกรรมมากับธาตุุทั้งสี่ ไม่ใช้เอาอารมณ์ไปสร้างบุญกุศล มันไม่ได้อะไรเลย
เรื่องคำว่า จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกานพ่อแม่เป็นมนุษย์ ..พูดบ่อยๆ ชาตนี้มีโอกาสพูดคำนี้ ..ไปอยู่อาศัยรูปกรรมอื่น มันพูดคำนี้ไม่ได้ ที่ว่า จิตมาอาศัย ธาตุพ่อธาตุแม่ . ธาตุพ่อแม่เป็นสังขารสัตว์มันพูดไม่ได้เลย
แล้วเรื่องราว ของคำว่า ไสยศาสตร์ นั้น มันพัวพัน กับคนอยากได้นั้นได้นี้ ร่ำรวย มันจะพ้นเวรกรรม ทำให้เวรกรรมน้อยลงไ หรือ เพิ่มขึ้น ในคำว่า โลภโกรธหลง . แล้วเรื่องราวที่จะทำรู้จักดีชั่ว นำพาจิตไปทางไหน เมื่อหมดความเป็นไปของกายที่จิตอาศัย เรื่องที่ว่า ก่อนตายยังถูก ..ทุกข์ทรมานขนาดนี้
..มีเงินมีทอง จ้างเค้าเขือดมาเฉือน ให้กายมีทุกข์ทรมาน มาสายระโยงระยาง บ้างก็ติดเตียง จิตก็อาศัยอยู่ในกาย จะทุกข์ทรมาน ขนาดไหน พูดก็ไม่ได้ เค้าเอาสาย ยัดลงไป กินไม่ได้ ก็เจาะคอ เอาอะไร ใส่ยัดลงไป .จิตในกายมันจะทุกข์เจ็บปวดด้วยทุกขเวทนา นั้นขนาดไหน กว่าจิตนั้นจะ แทรกออกไปจากกายได้ จากธาตุทั้งสี่ เค้าเรียกว่า ขนาดยังไม่ตาย ยังทุกข์ทรมานขนาดนี้ แล้วตายไป จะทุกข์ทรมานขนาดไหน
การเรียนรู้เรื่องของบุญกุศล ปฏิบัติธรรม สร้างบุญ มีความสำคัญต่อจิต ที่จะเป็นเสบียงสะสมไปกับจิตเมื่อออกจากกาย
คราวนี้ การสร้างบุญ ทำบุญ ได้บุญ หรือได้กรรม .บุญนั้นได้ที่จิต ..ไม่ใข้วัตถุสิ่งของ เพราสิ่งเล่านั้นเป็นของๆโลก คาถาอาคม ก็ของๆโลก เอาไปกับจิตไม่ได้เลย .
เรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องขันติบารมี พระที่ท่านเข้าป่าไม่กลับมาอีก ท่านต่างๆมีขันติเป็นบารมี พระกัสสป ท่านเป็นเศรษฐี เข้าป่าด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ไปทิ้ง .ชำระสะสาง จนกายนั้นเป็นแก้วบริสุทธิ์ เป็นกายพระอรหันต์ บริสุทธิ์..ผุดผ่อง ไม่ต้องมากินอะไรหล่อเลี้ยงกายอีก ไม่ต้องไปหาบ้านช่อง ที่หลับที่นอนอีก ไปไหน ก็ไม่มีอะไรขัดขวางท่านได้เลย
แล้วอีกเรื่องราวหนึ่ง คนเราจะไปที่ดี หรือ ไม่ดี ก็ให้ดู เรื่องราว ความทุกข์ทรมาน ..ที่กายนี้ แสดง ไหลออกมาให้ปรากฏ .ว่า จะไปสถานที่ดี หรือ ไม่ดี ..ที่เค้าก็แสดง ออกมา ให้ดูก่อน กายนี้ หมดสภาพไป..
โฆษณา