5 ชั่วโมงที่แล้ว • ข่าว

ร้านยาเข้าร่วม "สุขกาย สบายกระเป๋า" แล้ว 3,400 แห่ง

เร่งทำแอปฯ ปักหมุดร้านยาใกล้ฉัน 4 พ.ย.นี้ รองรับซื้อยานอก รพ.เอกชน
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" เป็นนโยบายที่รัฐบาลจะช่วยค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่รับการรักษาที่ รพ.เอกชน อาจมีปัญหาค่ายาที่มีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับร้านยา
กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน จึงได้มีนโยบายดังกล่าว โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง กรมการค้าภายใน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมีเครือข่ายรพ.เอกชนเข้าร่วม เพื่อเป็นทางเลือกของผู้ป่วยในการไปซื้อยาที่ร้ายยาทั่วไปได้
ทั้งนี้ อย.ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยการรับสมัครร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรอยู่ในเวลาทำการเข้าร่วมโครงการ โดยเป็นไปด้วยความสมัครใจ และมีความพร้อมให้กับผู้ป่วยที่มีใบสั่งยาภายใน 24 ชม. สามารถที่จะติดต่อกับรพ.เอกชนที่ออกใบสั่งแพทย์ได้ และปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ
ภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการ อย.
"ร้านยาทั่วประเทศมีประมาณกว่า 2 หมื่นแห่ง อย.ได้เปิดรับสมัครร้านยาเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.2568 ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 27 ต.ค.มีร้านยาสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 3,400 แห่ง ส่วนร้านยาที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ผู้ป่วยยังสามารถนำใบสั่งยาเข้าไปซื้อได้หรือไม่นั้น สามารถซื้อได้ เพียงแต่เราอยากให้ประชาชนที่ถือใบสั่งแพทย์จากรพ.เอกชนไปในร้านที่เข้าร่วมโครงการก่อน เพราะร้านดังกล่าวมีความพร้อมอยู่แล้ว" ภญ.สุภัทรากล่าว
อย.กำลังจัดทำเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน “ร้านยาใกล้ฉัน” เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถค้นหาหรือปักหมุดได้ว่าร้านยาที่เข้าร่วมโครงการอยู่จุดไหน เพื่อความสะดวกในการรับบริการ ซึ่งรูปแบบผู้ป่วยอาจจะวอล์กอินไปที่ร้านได้เลย หรือบางร้านอาจจะมีระบบส่งยาตามมาตรฐานที่ อย.กับสภาวิชาชีพกำหนดได้
"ขณะนี้ระบบปักหมุดดังกล่าวจะเสร็จทันในวันที่จะมีการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินโครงการ"สุขกาย สบายกระเป๋า" วันที่ 4 พ.ย.นี้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เวลา 14.00 น." ภญ.สุภัทรา กล่าว
เมื่อถามถึงการเชื่อมต่อการสั่งยาเป็นระบบดิจิทัล ภญ.สุภัทรา กล่าวว่า เบื้องต้นยังเป็นใบสั่งยาที่เป็นกระดาษก่อน และให้ผู้ป่วยติดต่อกับร้านยา การเชื่อมต่ออิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาระบบทั้งระบบของรพ.และร้านยา แต่ทั้งนี้การตรวจวินิจฉัยผู้สั่งยาเป็นแพทย์ที่อยู่ในรพ.เอกชน ร้านยาดำเนินการขายยาตามใบสั่งแพทย์ที่แพทย์ออกใบสั่ง
ตัวยาที่ร้านยาจะขายให้ผู้ป่วยได้เราต้องจำแนกด้วย เพราะยาบางอย่างที่แพทย์สั่งอาจจะไม่สามารถจำหน่ายผ่านร้านยาได้ ซึ่งจะมีทีมอย.และรพ.คอยกำกับดูแลหลังบ้าน เช่น ยาฉีดบางตัวต้องฉีดเฉพาะในสถานพยาบาล ยาบางตัวที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์หรือประเภทยาเสพติดที่ร้านยาไม่มีใบอนุญาต ที่จำหน่ายได้เฉพาะใน รพ.ก็ไม่สามารถจำหน่ายผ่านร้านยาได้
"หลัง MOU จะมีการทำงานหลังบ้านร่วมกัน และความคาดหวังในอนาคตก็จะมีการเชื่อมระบบกับหมอพร้อมด้วย" ภญ.สุภัทรากล่าว
เมื่อถามความกังวลของรพ.เอกชนที่จะออกใบสั่งยานอกบัญชียาหลักและมีราคาที่แพง ภญ.สุภัทรา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความสมัครใจของผู้ป่วยและรพ. นอกจากนี้ หลังเซ็น MOU ระหว่าง อย. สบส. สมาคม รพ.เอกชนจะมาเซ็ตระบบ มีคณะกรรมการประเมินผล เพราะวัตถุประสงค์โครงการคือ ต้องให้มีความปลอดภัยของผู้ป่วย การรับบริการที่ดี และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จะไม่ให้เกิดปัญหาตามมา
ด้านนพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า รพ.เอกชนมีความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในเรื่องการออกใบรายการยาอย่างละเอียดแก่ผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยสามารถร้องขอรายละเอียดรายการยาได้ นอกเหนือจากใบเสร็จค่าบริการ
อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีที่สุดหากคนไข้แจ้งความจำนงในการนำใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยาตั้งแต่พบแพทย์ (ตั้งแต่แรก) เพื่อให้แพทย์ทราบความต้องการ
“หากผู้ป่วยต้องการซื้อยาจากภายนอกแล้วแจ้งแพทย์ ก็จะทำให้ แพทย์อาจจะสั่งยาให้เฉพาะตัวยาที่จำเป็นสำหรับวันเดียว จากนั้นผู้ป่วยก็สามารถนำซองยาหรือใบสั่งยาไปซื้อยาต่อได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่ายาบางอย่าง อาจไม่มีจำหน่ายนอกโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่บางครั้งแพทย์อาจจะไม่สามารถให้ผู้ป่วยออกไปซื้อยาเองได้” นพ.ไพบูลย์กล่าว
นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า แม้ว่าใบเสร็จค่าบริการปกติอาจจะระบุเพียงค่าใช้จ่ายรวม เช่น ค่า ยา แต่ทางโรงพยาบาลก็มีรายละเอียดของตัวยาอยู่แล้ว สำหรับการเบิกประกันสุขภาพเอกชน หรือผู้ป่วยที่ต้องการดูรายละเอียด จะได้รับข้อมูลที่มีทั้ง ชื่อยา จำนวน และราคายา ดังนั้น ผู้ป่วยที่จ่ายเองก็สามารถขอให้พิมพ์รายละเอียดเหล่านี้ได้
“ปัจจุบันมีจำนวนคนไข้ที่มาใช้บริการในโรงพยาบาลแล้วขอไปซื้อยาจากภายนอกน้อยมาก เนื่องจากผู้ที่มาโรงพยาบาลโดยตรงมักจะมีความมั่นใจในการบริการของโรงพยาบาล มิเช่นนั้นก็คงไปซื้อยาร้านยาหรือคลินิกตั้งแต่แรกไม่มารพ.เอกชน และคนที่อยู่ในสิทธิบัตรทองหากป้วย 32 อาการก็ไปรับยาที่ร้านยาได้ฟรีอยู่แล้ว จึงคาดว่าประเด็นนี้จะ ไม่กระทบต่อรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนอย่างรุนแรง” นพ.ไพบูลย์กล่าว
โฆษณา