บทเรียนจาก Second Life เมื่อโลกแห่ง Metaverse ไม่ได้สวยหรูเหมือนคำโฆษณา
ย้อนกลับไปในปี 2007 ชายชื่อ Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life ได้ประกาศคำทำนายที่ยิ่งใหญ่ เขาบอกว่า “เว็บ 3D จะกลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นอย่างรวดเร็ว และทุกคนจะมีอวาตาร์เป็นของตนเอง”
Second Life คือโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถเข้าไปสำรวจดินแดนมหัศจรรย์ สร้างคฤหาสน์ ป่าไม้ หรือแม้แต่ยานอวกาศของตัวเองได้
ในช่วงเวลานั้น Second Life กำลังได้รับความนิยมถึงขีดสุด มีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มหลายแสนคน และที่น่าทึ่งคือ มันสร้าง GDP หรือเศรษฐกิจในระบบของตัวเองได้สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์
ความดังของ Second Life ทำให้มันได้ขึ้นปกนิตยสาร BusinessWeek
นิตยสาร Rolling Stone ถึงกับเรียกมันว่า “อนาคตของอินเทอร์เน็ต”
…
อ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกคุ้นๆ บ้างหรือไม่?
มันยากที่จะไม่มองย้อนกลับไปถึงความคลั่งไคล้ Second Life ในยุคนั้น แล้วเห็นภาพซ้อนทับกับวาทกรรมที่เกิดขึ้นกับ “Metaverse” ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ของ Mark Zuckerberg
Rosedale และคนที่เชื่อมั่นใน Second Life มักใช้สำนวนที่เหมือนกับที่เราได้ยินในวงการ Crypto ปัจจุบัน เขาเรียก Second Life ว่า “The Wild West” หรือดินแดนตะวันตกยุคคาวบอยที่ยังไร้กฎเกณฑ์
สำนักข่าว Reuters ที่เคยตื่นเต้นถึงกับไปเปิดสำนักงานใน Second Life ในปี 2006 ก็ต้องปิดตัวลงในเวลาเพียงสองปี เหล่าแบรนด์ดังที่เคยไปจับจองพื้นที่ ต่างก็ละทิ้งร้านค้าเสมือนจริงของตัวเอง
…
แต่การจะบอกว่า Second Life คือความล้มเหลว ก็อาจเป็นการบิดเบือนความจริงไปหน่อย เพราะอย่างน้อย Second Life ก็ได้ทำหน้าที่สำคัญ ในการแนะนำผู้คนนับล้านให้รู้จักกับ “โลกเสมือน” เป็นครั้งแรก
โฆษกของ Linden Lab บริษัทแม่ของ Second Life บอกว่า ผู้คนใช้เวลารวมกันกว่า 500,000 ปี ใน Second Life และจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้ใช้งานรายเดือน 750,000 คน ที่ยังคง “อาศัย” อยู่ในโลกเสมือนนี้
มีบทเรียนมากมายที่สามารถเรียนรู้ได้จาก Second Life ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย
เราลองมาฟังมุมมองจากคนสองคน คนแรกคือ Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life เอง ส่วนอีกคนคือ Tom Boellstorff นักมานุษยวิทยาที่ใช้เวลาศึกษาในโลกเสมือนจริงนี้ถึงสองปีเต็มในช่วงที่มันพีคที่สุด จนเขียนหนังสือ “Coming of Age in Second Life”
บทเรียนแรกคือ โลกเสมือนเหล่านี้ “ไม่ใช่เกม”
Rosedale ย้ำว่า Second Life “มันไม่มีคะแนน มันไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้” ความ “ไร้จุดหมาย” นี้เอง ที่สร้างความสับสนให้กับผู้ใช้หน้าใหม่จำนวนมากในยุคแรก
และคำวิจารณ์แบบเดียวกันนี้ ก็ยังคงถูกใช้กับแนวคิด Metaverse ของ Mark Zuckerberg
เรื่องราวทั้งหมดของ Second Life จึงเป็นเหมือนภาพฉายย้อนอดีต ที่กำลังเตือนสติเราในยุคปัจจุบัน
ความตื่นเต้น คำสัญญาที่ยิ่งใหญ่ และความคลั่งไคล้ในโลกเสมือนจริงที่เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple หรือ Meta กำลังพยายามจะทำในทุกวันนี้ แทบไม่ต่างจากสิ่งที่ Second Life เคยทำไว้เมื่อ 15 ปีก่อนเลย