Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Histoly - ประวัติศาสตร์แบบเบาๆ
•
ติดตาม
4 พ.ย. เวลา 09:00 • ประวัติศาสตร์
👑 La Papessa สตรีผู้ครองบัลลังก์วาติกัน เรื่องจริงของ โอลิมเปีย แพมฟิลี ผู้อยู่เหนือพระสันตะปาปา
ในโลกที่อำนาจสูงสุดของวาติกันถูกสงวนไว้สำหรับบุรุษเพศมานับพันปี ชื่อของ โอลิมเปีย ไมดัลคินี แพมฟิลี (Olimpia Maidalchini Pamphilj) กลับกลายเป็นข้อยกเว้นที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรคาทอลิก
เป็นเวลากว่า 300 ปีที่ ภาพวาดของโอลิมเปีย ซึ่งวาดโดยจิตรกรเอกชาวสเปนในศตวรรษที่ 17 ดิเอโก เบลัซเกซ (Diego Velázquez) ได้หายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในปี 2019 ภาพดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในงานประมูลของ Sotheby’s และกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วโลก
ใบหน้าที่ทรงพลังในภาพคือของสตรีผู้เคยครอบงำโถงทางเดินแห่งอำนาจของวาติกัน นานถึง 11 ปี ระหว่างปี 1644 ถึง 1655 ในช่วงที่สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 (Pope Innocent X) ดำรงตำแหน่ง โอลิมเปียคือผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดในวาติกัน
ในยุคนั้น เธอเป็นบุคคลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกคาทอลิก ทั้งในแง่ของความสามารถและความขัดแย้ง อำนาจของเธอมากมายจนได้รับสมญานามว่า “La Papessa” หรือ “สมเด็จพระสันตะปาปาหญิง” ซึ่งเป็นคำเรียกขานที่ทั้งยกย่องและเสียดสีในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับมีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้จักชื่อของเธอ ทั้งที่เธอเคยเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของวาติกัน คำถามที่ยังคงค้างคาใจนักประวัติศาสตร์และผู้สนใจคือ เธอไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในโลกของบุรุษได้อย่างไร?
👧 เด็กสาวผู้ไม่ยอมก้มหัว
โอลิมเปีย ไมดัลคินี (Olimpia Maidalchini) เกิดในปี 1591 ที่เมืองวีแตร์โบ (Viterbo) ทางตอนกลางของอิตาลี ในครอบครัวขุนนางที่มีฐานะมั่งคั่งพอประมาณ แม้จะมีเชื้อสายสูงศักดิ์ แต่ครอบครัวไมดัลคินีก็ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ด้วยเหตุนี้ บิดาของโอลิมเปียจึงตัดสินใจส่งลูกสาวทั้งสามคนของเขา (โดยโอลิมเปียเป็นบุตรสาวคนโต) เข้าไปใช้ชีวิตในคอนแวนต์ (สำนักชี) เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเรื่องสินสอดทองหมั้นที่จำเป็นสำหรับการแต่งงาน และเก็บงบประมาณไว้สำหรับบุตรชายคนเดียวของครอบครัว
แต่โอลิมเปียไม่ใช่หญิงสาวที่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา ในวัยเพียง 16 ปี เธอรู้แน่ชัดว่าเส้นทางชีวิตของตนไม่ควรจบลงในสำนักชี และเธอก็ไม่ยอมถูกบังคับให้เดินตามแผนของครอบครัวอย่างเด็ดขาด ด้วยความเฉลียวฉลาดและความมั่นใจ โอลิมเปียเลือกใช้เสน่ห์และไหวพริบในการเข้าหา เปาโล นินี (Paolo Nini) หนึ่งในชายที่ร่ำรวยที่สุดในวีแตร์โบ
Portrait of Olimpia Maidalchini Pamphilj (1591–1657)
ในปี 1608 เธอแต่งงานกับเปาโล และดูเหมือนว่าชีวิตของเธอจะสุขสบายไปตลอดชีวิตในฐานะภรรยาของผู้มั่งคั่ง แต่โชคชะตากลับพลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อสามีของเธอเสียชีวิตอย่างกะทันหันหลังแต่งงานได้เพียงสามปี ทิ้งให้โอลิมเปียกลายเป็นม่ายที่โดดเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะโอลิมเปียกลายเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสามีผู้ล่วงลับ และเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในฐานะสตรีที่มีอำนาจและทรัพย์สินในมือ พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองและศาสนาในกรุงโรม
💰 แต่งงานกับอำนาจ
หลังจากการเสียชีวิตของสามีคนแรกในปี 1611 โอลิมเปียยังเป็นหญิงสาววัยเพียง 20 ปี แต่กลับครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลจากการเป็นม่ายของเปาโล นินี ด้วยสถานะใหม่ของเธอในฐานะสตรีผู้มั่งคั่ง การแต่งงานครั้งที่สองจึงเป็นเพียงเรื่องของเวลา
อย่างไรก็ตาม โอลิมเปียไม่ได้เลือกสามีใหม่จากชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ หากแต่เลือกแต่งงานกับ แพมฟิลิโอ แพมฟิลี (Pamphilio Pamphilj) ขุนนางผู้ทรงอิทธิพลจากตระกูล Pamphilj ซึ่งมีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมืองและศาสนาในกรุงโรม การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มอบทั้ง “สถานะทางสังคม” และ “ความมั่งคั่งทางอำนาจ” ให้กับโอลิมเปีย
ในปี 1612 เมื่อทั้งคู่แต่งงานกัน แพมฟิลิโอมีอายุถึง 51 ปี แก่กว่าเจ้าสาวคนใหม่ของเขาถึง 30 ปี หลังจากการแต่งงาน โอลิมเปียได้รับการเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า “ดอนนา โอลิมเปีย” (Donna Olimpia) หรือ “ท่านหญิงโอลิมเปีย” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สะท้อนถึงการยอมรับในแวดวงขุนนางและศาสนจักร
การแต่งงานครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนสถานะของโอลิมเปียในสังคม แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ อำนาจสูงสุดในวาติกัน ที่เธอจะครอบครองในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
🔥 ความทะเยอทะยานที่ลุกโชน
หลังจากแต่งงานเข้าสู่ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลอย่างแพมฟิลี โอลิมเปียก็เริ่มวางแผนขยายอำนาจของตนเองอย่างเป็นระบบ เธอเล็งเห็นศักยภาพในตัว จิโอวานนี บัตติสตา แพมฟิลี (Giovanni Battista Pamphilj) น้องชายของสามี ซึ่งขณะนั้นมีบทบาทในคริสตจักรคาทอลิกและทำหน้าที่เป็นนักการทูตของพระสันตะปาปา
โอลิมเปียและจิโอวานนีวัย 38 ปี สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองอาศัยอยู่ร่วมกับแพมฟิลิโอในบ้านของตระกูลแพมฟิลีในกรุงโรม ด้วยบุคลิกที่ลังเลและไม่เด็ดขาดของจิโอวานนี เขากลายเป็น “หุ่นเชิด” ที่สมบูรณ์แบบให้โอลิมเปียชักใยและปั้นแต่งตามแผน
นอกจากการใช้อิทธิพลภายในครอบครัว โอลิมเปียยังเริ่มเสนอสินบนและสร้างข้อตกลงกับผู้มีอำนาจในคริสตจักร เพื่อปูทางให้จิโอวานนีไต่เต้าสู่ตำแหน่งสำคัญ ในปี 1629 ความพยายามของเธอสัมฤทธิ์ผล เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็น พระคาร์ดินัล (Cardinal) ซึ่งเป็นตำแหน่งอาวุโสในคริสตจักรคาทอลิก
Conclaaf voor de verkiezing van paus Innocentius X, 1644
แม้สามีของเธอจะเสียชีวิตในปี 1639 โอลิมเปียยังคงควบคุมเส้นทางอาชีพของจิโอวานนีอย่างเหนียวแน่น เธอมองเห็นโอกาสในการใช้อิทธิพลเหนือวาติกัน สถานที่ที่ผู้หญิงถูกกีดกันจากอำนาจมาโดยตลอด และเธอก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามันไว้
ในปี 1644 หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 (Pope Urban VIII) การประชุมลับเพื่อเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ (Papal Conclave) เริ่มต้นขึ้น ภายในโบสถ์น้อยซิสทีน การเลือกตั้งตกอยู่ในภาวะชะงักงันนานถึงสองเดือน เมื่อสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันไม่สามารถผลักดันผู้สมัครของตนได้สำเร็จ
ในช่วงเวลานี้เอง โอลิมเปียใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ เธอยื่นข้อเสนอสินบนก้อนโตให้กับพระคาร์ดินัลอาวุโสคนหนึ่ง เพื่อสนับสนุนจิโอวานนีในฐานะผู้สมัครที่เป็น “ทางสายกลาง” ซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
แผนของเธอประสบความสำเร็จ และในวันที่ 15 กันยายน 1644 จิโอวานนีได้รับเลือกเป็น สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 (Pope Innocent X) แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย รวมถึงความพยายามของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่ส่งสาส์นวีโต้เพื่อขัดขวาง แต่สาส์นมาถึงช้าเกินไป การเลือกตั้งจึงเสร็จสิ้น
เมื่อมีการสถาปนาพระสันตะปาปาองค์ใหม่ พระคาร์ดินัลองค์หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า: “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย เราเพิ่งจะเลือกสมเด็จพระสันตะปาปาหญิงไปหมาดๆ”
👑 นายหญิงแห่งวาติกัน
แม้จะเผชิญแรงต่อต้านจากพระคาร์ดินัลองค์อื่นๆ ที่ไม่พอใจต่ออิทธิพลของเธอ แต่โอลิมเปีย ไมดัลคินีก็ยังคงดำเนินบทบาทของตนอย่างไม่สะทกสะท้าน และดูเหมือนว่าสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 ก็ไม่ต่างกัน เขายังคงพึ่งพาคำแนะนำของโอลิมเปียอย่างต่อเนื่อง เหมือนที่เคยทำมาตลอดเส้นทางอาชีพ
อำนาจของโอลิมเปียไม่ได้จำกัดอยู่แค่การให้คำปรึกษา เธอใช้เวลาทั้งวันในวาติกัน เข้าร่วมประชุมกับพระคาร์ดินัล และแทรกแซงกิจการของพระสันตะปาปาในนามของอินโนเซนต์ สำหรับผู้ใดก็ตามที่ต้องการเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา พวกเขาจะต้องผ่าน “ด่านโอลิมเปีย” ก่อนเสมอ เพราะเธอควบคุมการเข้าถึงน้องเขยของตนอย่างเข้มงวด
ด้วยบทบาทที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้ ผู้คนเริ่มเรียกเธอว่า “La Papessa” หรือ “สมเด็จพระสันตะปาปาหญิง” และตามคำบอกเล่าของ เอเลนอร์ เฮอร์แมน (Eleanor Herman) ผู้เขียนหนังสือ Mistress of the Vatican มีรายงานว่าชาวกรุงโรมถึงกับแขวนป้ายผ้าเขียนว่า “สมเด็จพระสันตะปาปา โอลิมเปียที่ 1” ไว้ทั่วเมือง
ในฐานะสตรีผู้ยืนขวางกั้นระหว่างโป๊ปกับพสกนิกร โอลิมเปียกลายเป็นเป้าหมายของบุคคลสำคัญและนักบวชที่หวังจะได้รับความโปรดปรานจากเธอ เธอได้รับของขวัญล้ำค่าและสินบนจำนวนมาก จนกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในยุโรป
Piazza Navona in Rome, Lazio, Italy
อิทธิพลของโอลิมเปียยังขยายไปสู่การแต่งตั้งบุคคลในครอบครัวเข้าสู่ตำแหน่งสูงในคริสตจักร เธอรื้อฟื้นประเพณีโบราณที่อนุญาตให้พระสันตะปาปาแต่งตั้งญาติให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยเริ่มจาก คามิลโล (Camillo) ลูกชายของเธอที่ได้รับตำแหน่งคาร์ดินัลหลานชาย (Cardinal Nephew) ก่อนจะลาออกเพื่อแต่งงาน ทำให้ตำแหน่งว่างลง และอินโนเซนต์ก็มอบตำแหน่งนี้ให้กับ ฟรานเชสโก ไมดัลคินี (Francesco Maidalchini) หลานชายแท้ๆ ของโอลิมเปีย แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับโป๊ปเลยก็ตาม
นอกจากอำนาจทางการเมืองและศาสนา โอลิมเปียยังมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมสถาปัตยกรรมของกรุงโรม เธอเป็นผู้ดูแลการปรับปรุงและขยาย Palazzo Pamphilj บ้านของตระกูลแพมฟิลีอย่างหรูหรา และว่าจ้าง จาน ลอเรนโซ แบร์นีนี (Gian Lorenzo Bernini) ประติมากรชื่อดังให้สร้าง น้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่ Piazza Navona จนถึงทุกวันนี้
👠 อำนาจปีศาจ หรือ สตรีนิยมยุคแรก?
การควบคุมการตัดสินใจของสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 โดยโอลิมเปียไม่เคยเป็นความลับ ภายในวาติกัน เธอคือบุคคลที่ทรงอิทธิพลและเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงพระสันตะปาปาโดยตรง ความเด็ดขาดและการแทรกแซงของเธอในกิจการศาสนจักรทำให้เธอถูกเหยียดหยามอย่างหนัก
นักวิชาการหลายคนชี้ว่า สิ่งที่ทำให้โอลิมเปียถูกต่อต้านไม่ใช่เพียงความโลภหรือการบงการ แต่เป็นเพราะเธอเป็น “ผู้หญิง” ที่กล้าก้าวข้ามเส้นแบ่งทางเพศในสถาบันที่ชายเป็นใหญ่มาโดยตลอด เธอถูกขนานนามว่าเป็น “อำนาจปีศาจ” และ “แม่มดแห่งวาติกัน” โดยกลุ่มชายผู้เกลียดชังอิทธิพลของเธอ
ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างโอลิมเปียกับพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ก็แพร่สะพัดไปทั่วกรุงโรม แม้จะไม่มีหลักฐานใดยืนยัน แต่คำเรียกขานอย่าง “La Pimpaccia” (ลา ปิมปัชชา) ซึ่งแปลว่า “นางบาป” ก็กลายเป็นฉายาที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คน
princess olimpia maidalchini and pope Innocenzo X
อย่างไรก็ตาม โอลิมเปียไม่ได้ถูกเกลียดชังจากทุกคน ตรงกันข้าม ผู้หญิงจำนวนมากในโลกคาทอลิกกลับรู้สึกทึ่งในตัวเธอ ในหนังสือ Mistress of the Vatican บรรยายว่า “โอลิมเปียเป็นดั่งร็อคสตาร์ในยุคบาโรกสำหรับผู้หญิงในสมัยของเธอ” หญิงสาวจากทั่วทุกมุมของยุโรปคาทอลิกเดินทางมายืนรอหน้าวังของเธอ เพื่อโห่ร้องยินดีเมื่อรถม้าของเธอเคลื่อนผ่าน
แม้โอลิมเปียจะมีความทะเยอทะยานในด้านอำนาจและทรัพย์สินอย่างชัดเจน แต่เธอก็มีด้านที่อ่อนโยนและเปี่ยมเมตตา โดยเฉพาะต่อผู้หญิงในสังคม เธอใช้ตำแหน่งของตนในการสนับสนุนสตรีจากทุกชนชั้น บริจาคเงินให้คอนแวนต์ และมอบสินสอดให้หญิงสาวที่ต้องการแต่งงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับให้เป็นแม่ชี
โอลิมเปียยังมีชื่อเสียงในเรื่องความเมตตาต่อโสเภณีในกรุงโรม โดยให้ความคุ้มครองพวกเธอ อนุญาตให้ใช้รถม้าและแสดงตราประจำตระกูลของเธอได้ แม้การเชื่อมโยงกับหญิงขายบริการจะไม่ช่วยเปลี่ยนความคิดของผู้ที่เรียกเธอว่า “นางบาป” แต่กลับทำให้นักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าเธออาจเป็น สตรีนิยมยุคแรก (Early Feminist) ที่กล้าท้าทายโครงสร้างอำนาจชายในยุคของเธอ
📉 จุดเริ่มต้นของจุดจบ
อำนาจของโอลิมเปียที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1644 ยังคงอยู่ตราบเท่าที่สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 ยังมีลมหายใจ แม้จะมีแรงกดดันจากภายนอกให้ปลดเธอออกจากวาติกัน แต่พระสันตะปาปาก็เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าไม่สามารถบริหารราชกิจได้โดยปราศจากเธอ
อย่างไรก็ตาม ในปี 1654 โอลิมเปียเริ่มตระหนักว่าเวลาของเธอกำลังจะหมดลง เมื่อพระสันตะปาปาอินโนเซนต์วัย 80 ปีล้มป่วยอย่างหนัก แม้จะนอนติดเตียง แต่โอลิมเปียยังคงควบคุมการตัดสินใจของเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สิน เธอกล่อมให้พระสันตะปาปาย้ายทองคำสำรองจากคลังสมบัติมาไว้ในห้องนอน และเริ่มยักยอกออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
The Trial of Olimpia Maidalchini Pamphilj
วันที่ 7 มกราคม 1655 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 สิ้นพระชนม์ลง ตามธรรมเนียม สมาชิกครอบครัวใกล้ชิดที่สุดจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพและการฝังศพอย่างสมเกียรติ ซึ่งในกรณีนี้คือโอลิมเปีย
แต่แม้จะเพิ่งกอบโกยทองคำจากวาติกันไปมากมาย โอลิมเปียกลับอ้างว่าไม่มีเงินพอที่จะจัดงานศพให้พระสันตะปาปา ส่งผลให้ร่างของพระองค์ถูกวางไว้ในตู้เก็บของในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์อย่างอนาถ และปล่อยให้เน่าเปื่อยอยู่ที่นั่น
ในที่สุด คนรับใช้คนหนึ่งของพระสันตะปาปาต้องออกเงินส่วนตัวเพื่อจัดหาโลงศพธรรมดาๆ ให้พระองค์ได้รับการฝังอย่างมีศักดิ์ศรี
✝️ จุดจบของ ลา ปาเปสซา
หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 10 ในปี 1655 อำนาจของโอลิมเปียก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว เมื่อ สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 7 (Pope Alexander VII) ได้รับเลือกในเดือนเมษายน 1656
อเล็กซานเดอร์เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการแห่งรัฐในสมัยของอินโนเซนต์ จึงรู้จักโอลิมเปียอย่างลึกซึ้ง และไม่เคยชื่นชอบเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการคอร์รัปชันและการยักยอกทรัพย์สินของเธอเพื่อเตรียมตั้งข้อหา แต่ก่อนที่จะดำเนินการ เขาเลือกที่จะเนรเทศโอลิมเปียออกจากกรุงโรม
โอลิมเปียหลบหนีไปพร้อมกับทองคำที่เธอขโมยมาจากวาติกัน และกลับไปยังบ้านเกิดที่เมืองวีแตร์โบ เพื่อรอผลการสืบสวน แต่ในปลายปีนั้น กาฬโรคระบาดอย่างรุนแรงทั่วอิตาลี ส่งผลให้การสอบสวนต้องหยุดชะงัก และไม่เคยถูกรื้อฟื้นอีกเลย
ในปี 1657 โอลิมเปียติดเชื้อกาฬโรคและเสียชีวิตในวันที่ 26 กันยายน โดยไม่เคยต้องเผชิญกับผลกรรมใดๆ จากพฤติกรรมอื้อฉาวของเธอ
The grave of Donna Olimpia Pamphilj (died 1657) located in the abbey of St Martin of Tours, in San Martino al Cimino, Viterbo, Italy
หลังจากการเสียชีวิตของเธอ คริสตจักรคาทอลิกพยายามลบร่องรอยทั้งหมดของโอลิมเปีย ทั้งในด้านอิทธิพลและชื่อเสียง เธอถูกมองว่าเป็นสตรีที่สร้างความอัปยศให้กับสถาบันศาสนา ด้วยการแทรกตัวเข้าไปในจุดสูงสุดของโครงสร้างอำนาจที่ไม่เคยเปิดรับผู้หญิง
โอลิมเปียถูกตราหน้าว่าเจ้าเล่ห์ ละโมบ ทะเยอทะยาน และหลอกลวง เธอคือสตรีผู้ซับซ้อนที่ถูกมองว่าเป็นปีศาจในสายตาของผู้ชายที่ทรงอำนาจ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นบุคคลที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ไม่ยอมรับคำว่า “ไม่” และกล้าท้าทายข้อจำกัดทางเพศในยุคของตน
คริสตจักรไม่สามารถปล่อยให้มรดกของโอลิมเปียมาทำให้ภาพลักษณ์ของตนมัวหมองได้ เธอจึงถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์... จนกระทั่งในยุคปัจจุบัน เมื่อภาพวาดของดิเอโก เบลัซเกซ (Diego Velázquez) ถูกค้นพบอีกครั้ง และนักประวัติศาสตร์เริ่มชุบชีวิตความทรงจำของเธอขึ้นมาจากเงามืด
วันนี้ โอลิมเปีย ไมดัลคินี แพมฟิลี ได้รับการยอมรับว่าเป็น “สตรีผู้โด่งดังที่สุดที่ถูกลืมเลือนตลอดกาล”
🏡 จากวาติกันสู่การเมืองไทย: บทเรียนเรื่องอำนาจหลังม่าน
เรื่องราวของโอลิมเปีย ไมดัลคินี ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์ของสตรีผู้ทรงอิทธิพลในวาติกันยุคศตวรรษที่ 17 เท่านั้น หากยังเป็นภาพสะท้อนของพลังการเมืองหลังม่าน และการใช้อิทธิพลส่วนบุคคลที่สามารถแทรกซึมเหนือโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการได้อย่างชัดเจน
เมื่อย้อนมองประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือแม้แต่ในสังคมการทำงานร่วมสมัย เราจะพบปรากฏการณ์แบบ “La Papessa” อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น “คนสนิท” ของผู้มีอำนาจ, “ที่ปรึกษา” ที่ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ, หรือแม้แต่ “คนในครอบครัว” ที่สามารถชักใยการตัดสินใจสำคัญจากเบื้องหลัง
บทเรียนจากโอลิมเปียสอนให้เข้าใจว่า อำนาจที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ในมือของผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดเสมอไป หากแต่อยู่ที่บุคคลซึ่งสามารถ “เข้าถึง” หรือ “ควบคุมการเข้าถึง” ผู้มีอำนาจเหล่านั้นได้ต่างหาก คนเหล่านี้คือ “Gatekeeper” หรือ “ผู้เฝ้าประตู” ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางขององค์กร การเมือง หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว
การทำความเข้าใจพลวัตที่ซ่อนอยู่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นในบริบทของการทำงาน การเมือง หรือการใช้ชีวิต เพราะมันช่วยให้เรามองเห็นโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง และสามารถวางกลยุทธ์ในการสื่อสาร การตัดสินใจ หรือการสร้างพันธมิตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
💬 ชวนคิดชวนคุย
คุณคิดว่า โอลิมเปีย สมควรได้รับการยกย่องในฐานะ "สตรีนิยมยุคแรก" ที่ทลายกำแพงของผู้ชาย หรือควรถูกจดจำในฐานะ "นักการเมืองผู้ฉ้อฉล" ที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนครับ?
มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Encyclopaedia Britannica. (n.d.). Innocent X | Pope (1644–1655). In Encyclopaedia Britannica.
2. HistoryExtra. (n.d.). How are popes elected? Here's what happens after a pope dies.
3. Sotheby’s. (2019). Mistress of the Vatican: Donna Olimpia Maidalchini Pamphilj (by Eleanor Herman).
4. Sotheby’s. (2019). Portrait of Olimpia Maidalchini Pamphilj by Diego Velázquez.
5.
Rome.net
.. (n.d.). Piazza Navona – Fountain of the Four Rivers by Bernini.
6.
Rome.net
.. (n.d.). Palazzo Doria Pamphilj (Galleria Doria Pamphilj).
🙏 สนับสนุนการสร้างสรรค์เนื้อหา
หากคุณชื่นชอบและอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่ความรู้ดีๆ แบบนี้ สามารถสนับสนุนผมได้ผ่านช่องทาง...
[
https://ezdn.app/witlyofficial
]
ขอบคุณจากใจครับ
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
ชีวประวัติ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย