2 พ.ย. เวลา 17:21 • ปรัชญา
เรามาดูความต้องการของชีวิต เรรก็ดูที่กายที่ตัวเราอาศัย กายนี้ จำเป็นต้องมีอะไร ที่หวังให้กายนี้ สุขสบาย ดูเรื่องการใช้กายไปทำมาหากิน หวังอะไรบ้าง แล้วที่ไม่หวังมีมั้ย มันอยู่ที่เหตุผล เราทำความเข้าในเรื่องราวของกาย ที่มันแก่เฒ่าชรา ตายได้ ไม่เลือกกาลเวลา ที่เราไม่รู้เลยว่า จะต่ายตรงไหน ท่านไหนที่ตาย .เวลาไหนสถานที่ไหน มันก็อยู่ที่ตัวเราทำความเข้าใจ ในชีวิตที่ไม่เที่ยง จิตเราที่อาศัยในกายนี้ หวังอะไร มุ่งหวังอะไร เรียบเรียงเหตุผลให้ขัด ที่เรามาอาศัยกายนี้ ชั่วขณะหนึ่ง
แล้วอีกอย่างหนึ่ง สมองคนเรามันก็ไม่เที่ยงน่ะ มันเสื่อมได้ เส้นเลือดสมองแตก แต่มันยังไม่ตาย .มันจะเป็นอย่างไร แค่ปสดหัวตัวร้อน ก็ใช้กาย ฝืนมันไม่ไหว .เราก็เรียนรู้เรื่องกายที่เราอาศัยให่ชัดเจน นี่ยังไม่ไปถึงเรื่องอารมณ์ที่ทำใ้หน้าดำหน้าแดง เลือมีแต่สีดำๆ ติดขัด .เนื่องด้วยอารมณ์ทำร้ายกาย เราก็ควรเรียนรู้จักเรื่องราวอารมณ์ ..เพื่อพยุงกาย
แล้วเรื่องราวอารมณ์นึกคิด นั้น สมองก็รับสัญญาณ ต่อมาจากอารมณ์ ที่ให้ความรู้สึกนึกคิด ที่เค้าว่า อารมณ์ปกคลุมโปง ไปทั่วเรือนกาย เราก็ยังไม่รู้จักอารมณ์ได้ ส่วมมองนั่นเป็นตัวรับส่ง คลื่นต่างๆที่มาจากอารมณ์ .เสมือนเป็นศูนย์ สั่งให้กายนั้นทำอะไร ตามอารมณ์ที่สั่งมา
อารมณ์โกรธโมโหมันเป็นเปลวไห ที่ธาตุไฟ ประทุขึ้นมา ไฟก็ไปเผาธาตดินให้ร้อน เราจะเอาอะไรไปดับไฟ เอาน้ำที่ไหนไปดับ ..น้ำนั้นก็เรื่องบุญกุศล เราสร้างขึ้นมา เอามาดัยไป เอาแสงสีของบุญ ที่เป็นน้ำธรรมมาดับไฟ ลมที่พัดไปมาเข้าออก บ่องบอกถึงเหตุผล สติสัมปชัญญะ เหตุผลและปัญญา ..ให้แก่จิต มีสติปัญญา ดับไฟ ให้ธาตุทั้งสี่มีบุญ กายเป็นบุญเกิดขึ้น ที่เค้าว่า สุขกาย สุขใจ ไม่มีอารมณ์กรรมตัวกระทำมาปรุงแต่งกาย เมื่อกายไม่ไฟมาปรุงมาลุกโชติช่วง . กายมันก็เย็นสบาย จิตก็มีสุขในกายที่ร่มเย็น .
โฆษณา