3 พ.ย. เวลา 03:13 • ข่าว

สงคามกลางเมืองซูดานปะชาชนตายกว่า 1,500 คน

“นี่เป็นอีกเครื่องเตือนใจอันน่าสยดสยอง ว่าชีวิตของเด็กๆ ในซูดานต้องถูกชดใช้ไปกับความรุนแรงอันโหดร้ายเหล่านี้” แคเธอรีน รัสเซลล์​ (Catherine Russell) ผู้อำนวยการบริหารของ UNICEF กล่าวในแถลงการณ์
แถลงการณ์นี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนกลางของซูดาน โดยคาดว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 150 คน ซึ่งเป็นเด็ก 35 คน และคาดว่ามีเด็กบาดเจ็บอีกกว่า 20 คน ซึ่งคาดว่าเป็นฝีมือของกองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว (Rapid Support Forces – RSF)
กว่า 14 เดือนแล้วนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองในเมืองคาร์ทูม เมืองหลวงของซูดาน ปะทุขึ้นเมื่อกลางเดือนเมษายน 2023 ซึ่งเป็นสงครามระหว่างกองทัพซูดาน (SAF) กับกองกำลังกึ่งทหาร (RSF) และนำมาซึ่งวิกฤตการพลัดถิ่นครั้งใหญ่ที่สุดในโลก
โดยนับตั้งแต่เริ่มมีการสู้รบ ข้อมูลจากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNOCHA) ระบุว่า มีประชาชนอย่างน้อย 8.2 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 49 ล้านคนของซูดานต้องออกไปจากบ้าน
และจากรายงานของโครงการข้อมูลสถานที่และเหตุการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธ (ACLED) เมื่อเดือนเมษายน 2024 ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 16,000 คน ซึ่งคาดว่าเป็นตัวเลขที่ยังน้อยกว่าความเป็นจริงเพราะมีความยากลำบากในการเก็บข้อมูล
นอกจากนี้ ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน รวมถึงประชาชนเกือบ 18 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดกำลังเผชิญกับวิกฤตความอดอยาก ซึ่งโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติระบุว่า ซูดานเสี่ยงที่จะกลายเป็นวิกฤตความหิวโหยครั้งใหญ่ที่สุดของโลก
“สถานการณ์ตอนนี้อาจเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ หรือจริงๆ มันอาจเกิดขึ้นไปแล้ว” อลิซ ไวริมู เอ็นเดริตู (Alice Wairimu Nderitu) ที่ปรึกษาพิเศษของสหประชาชาติด้านการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กล่าวกับ BBC
โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งกล่าวว่า สงครามในซูดานกำลังเป็น ‘สงครามที่ถูกลืม’ จากการที่ทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่ความขัดแย้งในยูเครนและฉนวนกาซา
ภาพความเสียหายเเละความเดือดร้อนข้องประชาชน
กลุ่มติดอาวุธ RSF ที่กำลังก่อเหตุในซูดาน พวกเขาคือใคร
1. อาร์เอสเอฟ (RSF) หรือ กองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว คือกลุ่มติดอาวุธในประเทศซูดาน ที่มีบทบาทสำคัญมากในสงครามกลางเมืองปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของกลุ่ม RSF มาจากกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นชื่อว่า Janjaweed ซึ่งรัฐบาลซูดานเคยใช้ปราบปรามกบฏในภูมิภาคดาร์ฟูร์ เมื่อช่วงต้นปี 2000
อุดมการณ์ของกลุ่ม Janjaweed คือ แนวคิดเรื่องชาติพันธุ์และการปกครองโดยกลุ่มอาหรับ กลุ่มนี้ก่อตัวขึ้นจากเครือข่ายชนเผ่าอาหรับเร่ร่อนทางตะวันตกของซูดาน โดยเฉพาะในเขตดาร์ฟูร์ ซึ่งมีความขัดแย้งยาวนานกับชนเผ่าพื้นเมืองเชื้อสายแอฟริกันที่ตั้งถิ่นฐานทำเกษตรในพื้นที่เดียวกัน
เมื่อเกิดภัยแล้งและการแย่งชิงทรัพยากร เช่น ที่ดินและแหล่งน้ำ ความขัดแย้งจึงขยายตัวจนกลายเป็นการต่อสู้ทางชาติพันธุ์ในที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 รัฐบาลซูดานภายใต้การนำของ โอมาร์ อัล-บาชีร์ เห็นว่ากลุ่ม Janjaweed สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการปราบกลุ่มกบฏเชื้อสายแอฟริกันได้ จึงให้การสนับสนุนอาวุธและเงินทุน ส่งผลให้แนวคิดของกลุ่มยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่า “ชาวอาหรับต้องครองดาร์ฟูร์ และกำจัดชนเผ่าที่ไม่ใช่อาหรับออกไป”
2. กลุ่มเดิมอย่าง Janjaweed ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ป่าเถื่อน กลุ่มนี้ไปปฏิบัติการที่เมืองแห่งใด เมืองนั้นก็จะราบเป็นหน้ากลอง
เพียงแค่ความขัดแย้งในดาร์ฟูร์ครั้งนั้นก็ทำให้มี ประชาชนเสียชีวิตกว่า 300,000 คน และ พลัดถิ่นมากถึง 2.5 ล้านคน จนองค์กรนานาชาติต่างๆ โดยเฉพาะศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกมาฟ้องร้องผู้นำซูดานและหัวหน้ากลุ่มเหล่านี้ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
3. เมื่อเวลาผ่านไป กองกำลังติดอาวุธก็มีสมาชิกมากขึ้น จนในปี 2013 กลุ่ม Janjaweed ก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ RSF โดยกองกำลังของอาร์เอสเอฟ ถูกใช้เป็นกองกำลังรักษาชายแดนและปราบปรามกลุ่มกบฏ ที่เคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดนตะวันตกและใต้ของซูดาน
แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลุ่ม RSF กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลบาชีร์ เพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามภายในประเทศและควบคุมประชาชนในภูมิภาคที่มีแนวโน้มต่อต้านรัฐบาลเสียมากกว่า
4. ต่อมาในปี 2015 รัฐบาลได้ยกระดับ RSF ให้เป็นกองกำลังประจำการ และในปี 2017 ได้ออกกฎหมายอย่างเป็นทางการให้ RSF มีสถานะเป็น “หน่วยอิสระ” ที่แยกจากโครงสร้างของกองทัพปกติ
.
กล่าวง่ายๆ คือ RSF เป็นกองกำลังติดอาวุธ ที่มีโครงสร้างชัดเจน แต่ไม่ขึ้นตรงต่อกองทัพเหมือนหน่วยทหารอื่นๆ ของประเทศ
5. ผู้นำของ RSF คือ พลเอกโมฮาเหม็ด ฮัมดาน ดากาโล อดีตพ่อค้าปศุสัตว์จากดาร์ฟูร์ผู้ผันตัวมาเป็นผู้นำกลุ่มติดอาวุธ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดในซูดาน
เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจนในดาร์ฟูร์ เขาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายอูฐ ก่อนที่จะกลายเป็นผู้นำของกลุ่ม Janjaweed เมื่อความขัดแย้งในดาร์ฟูร์ปะทุขึ้น
6. จุดเปลี่ยนสำคัญคือเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีซูดาน โอมาร์ อัล-บาชีร์ ถูกประชาชนโค่นอำนาจในปี 2019 กลุ่ม RSF ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เล่นหลักทางการเมืองซูดาน โดยพวกเขาร่วมมือกับกองทัพจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล ภายใต้การนำของ พลเอกอับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูร์ฮาน (ผบ.ทบ.ซูดาน) นั่งตำแหน่งประธาน
สภาอธิปไตย ส่วนเฮเมดตีนั่งรองประธาน
แม้ช่วงแรกทั้งสองฝ่ายจะดูทำงานร่วมกันได้ แต่ RSF ก็เริ่มถูกวิจารณ์หนักจากบทบาทในการสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และในเดือนตุลาคม 2021 กลุ่ม RSF ยังร่วมกับกองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนอีกรอบ ทำให้กระแสความไม่พอใจในประเทศพุ่งสูงขึ้น
7. ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับกลุ่ม RSF เริ่มแตกร้าวชัดเจน เมื่อกลุ่ม RSF ไม่ยอมถูกควบรวมเข้าเป็นหนึ่งในกองทัพซูดานเพราะกลัวว่าจะสูญเสียอิสระและอำนาจที่ตนเองมีอยู่ เพราะในปี 2023 กลุ่ม RSF มีทหารอยู่ในสังกัดมากถึง 100,000 นาย ซึ่งถือว่าเป็นกองกำลังที่ใหญ่และมีอาวุธครบมือที่สุดกลุ่มหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกันอีกว่าใครควรเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอีกด้วย ความไม่ลงรอยกันนี้สะสมเรื่อยมา จนสุดท้ายก็ปะทุเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบในกลางปี 2023
8. ความตึงเครียดระหว่างกองทัพกับกลุ่ม RSF ปะทุเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2023 โดยกลุ่ม RSF และกองทัพเปิดฉากต่อสู้กันในกรุงคาร์ทูม และเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วซูดานหลังความพยายามจัดทำข้อตกลงสันติภาพล้มเหลว นับเป็นการเริ่มต้นสงครามกลางเมืองครั้งใหม่ในซูดานที่ดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน
9. ปัจจุบันกลุ่ม RSF ยังคงมีกำลังรบอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภูมิภาค ดาร์ฟูร์ ที่กลายเป็นฐานที่มั่นหลักของพวกเขา ล่าสุด RSF ได้บุกเข้ายึดเมืองสำคัญทางตะวันตกอย่าง เอลฟาเชอร์ ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายในดาร์ฟูร์ที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรัฐบาล
การบุกยึดเมืองนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่ม RSF ปิดล้อมเมืองนานกว่า 17 เดือน และเปิดฉากโจมตีอย่างหนักในเดือนตุลาคม 2025 รายงานจากองค์กรแพทย์ระบุว่า การสู้รบในเมืองเอลฟาเชอร์เพียงไม่กี่วัน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บและสูญหายมีจำนวนมากเสียจนไม่สามารถตรวจสอบได้แน่นอน
10. กระทั่งเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจที่สุด ก็คือเหตุการณ์บุกโจมตีโรงพยาบาลซาอุดิ ใจกลางเมืองเอลฟาเชอร์ ซึ่งขณะนั้นมีประชาชนกว่า 500 คนหลบภัยอยู่ภายใน
รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า RSF ได้บุกเข้าไปและสังหารแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย และพลเรือน อย่างโหดเหี้ยม แค่ผู้เสียชีวิตเฉพาะในโรงพยาบาลนี้ก็ถึง 460 คนแล้ว เหตุการณ์นี้ถูกเรียกจากหลายฝ่ายว่าเป็น “การสังหารหมู่” และละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
11. หลายประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ จอร์แดน ตลอดจนสหประชาชาติ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของ RSF และเรียกร้องให้หยุดยิงโดยทันทีเพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปถึงประชาชน
ด้านนักวิเคราะห์ต่างประเทศจำนวนมากชี้ว่า การกระทำของกลุ่ม RSF ในดาร์ฟูร์ไม่ใช่แค่การสู้รบทั่วไป แต่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหม่ พวกเขากำลังไล่ล่าสังหารชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่เชื้อชาติเดียวกับตนอย่างเป็นระบบ จากการบุกหมู่บ้านทีละแห่ง เผาทำลายบ้านเรือน ปล้นสะดม ข่มขืนผู้หญิง และสังหารพลเรือนอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะคนเหล่านั้นเกิดมาไม่ใช่ “เชื้อชาติ” เหมือนพวกตน
โมฮาเมด ฮามดาน "เฮเมดตี" ดากาโล
ซัลวา กีร์ มายาร์ดิต
สงครามนี้ เริ่มต้นขึ้นหลังการรัฐประหารในเดือนตุลาคม 2021 ซูดานก็ถูกปกครองโดยพลเอก อับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูร์ฮาน (Abdel Fattah al-Burhan) ผู้บัญชาการกองทัพซูดาน และประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และมีรองประธานาธิบดีคือ พลเอก โมฮัมเหม็ด ฮัมดัน ดากาโล (Mohammed Hamad Dagolo) หรือเฮเมดตี (Hemedti) ผู้บัญชาการกองกำลัง RSF
ทั้งสองมีมุมมองด้านการบริหารประเทศและการคืนอำนาจสู่พลเรือนที่แตกต่างกัน จนเป็นชนวนสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จากการที่กองกำลัง RSF ระดมกำลังทั่วประเทศจนกองทัพซูดานมองเป็นภัยคุกคาม จนมีการเปิดฉากยิงที่ไม่ชัดเจนว่าใครเริ่มก่อน เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2023 และการปะทะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมีการเรียกร้องให้หยุดยิงเป็นระยะ แต่ก็ไม่สำเร็จ
ไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากสงครามนี้เช่นกัน โดยมีนักเรียนไทยจำนวนหนึ่งศึกษาต่ออยู่ที่ซูดาน ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามขึ้น จึงได้มีการประสานงานเพื่อเข้าช่วยเหลือและอพยพคนไทยอย่างเร่งด่วน
หลังจากนี้จึงจะต้องติดตามต่อไปว่า สงครามในซูดานที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงจะตอกย้ำวิกฤตต่อประชาชนอย่างไร หรือแม้กระทั่งผลกระทบต่อความมั่นคงของซูดานเองหลังสงคราม
ร่องรอยของความขัดเเย้ง
เเผนที่ของประเทศซูดาน
ประเทศซูดานประเทศที่มีความเเตกต่างจากที่ประชากรส่วนใหญ่ทางตอนเหนือน เป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามใช้ภาษาอาหรับในการสื่อสาร ส่วนทางตอนใต้เป็นประชาชนชาวพื้นเมือง เเละกลุ่มที่มีการนับถือศาสนาคริสต์
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#ซูดาน #สงครามกลางเมือง #เเอฟริกา #ความขัดเเย้ง #ข่าว #ข่าวรอบโลก
โฆษณา