เมื่อวาน เวลา 14:26 • ความคิดเห็น

สามภาษาที่เด็กรุ่นใหม่ควรใช้ให้บ่อยๆ

เรื่อง generation gap เรื่องคนรุ่นเก่าบ่นคนรุ่นใหม่ว่าแย่ ดื้อ คนรุ่นใหม่คิดว่าคนรุ่นเก่าตกยุค ไม่เข้าใจและไม่ทันสมัยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุเมเรียนเมื่อสองพันปีก่อนที่ว่ากันว่าสลักอยู่ในแผ่นดินเหนียว ในสมัยกรีกโบราณ จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
1
ผมเองก็เคยเป็นคนรุ่นใหม่ ตอนนี้ก็ค่อนข้างไปทางเก่าแล้ว และก็เคยเป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดว่าคนรุ่นเก่าโบราณ พอมาเป็นคนรุ่นเก่าก็ได้ยินคนรุ่นเดียวกันบ่นรุ่นใหม่เช่นกัน
1
แต่ถ้าสังเกตดีๆ คนรุ่นใหม่ในยุคเดียวกันก็มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลวเหมือนกันหมด
คนที่ไปได้ไกลๆไม่ว่ายุคไหนก็คือคนที่ไม่ได้มีความอคติเรื่องรุ่น แต่เป็นคนที่พยายามใช้พลังของคนต่างรุ่นที่เด่นต่างกันมาเป็นพลังของตัวเอง คนรุ่นใหม่ที่สามารถใช้ความกล้า ความคิดสร้างสรรค์ของคนในรุ่น และปัญญา ประสบการณ์ หรือแม้แต่ “ทุน” ของคนรุ่นเก่าที่สะสมมา เอามาเป็นอาวุธของตัวเองได้
2
ผมถึงอยากชวนน้องๆให้ลองมองข้ามเรื่อง generation gap ที่เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกไปก่อน แต่หันมามองตัวเองกับคนรอบๆตัว ลดอีโก้และความไม่ชอบใจในรายละเอียดของคนต่างวัย
เหมือนพูดคนละภาษา คุยกันก็ไม่เข้าใจ..
มาลองใช้ภาษาเหล่านี้ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิต นำพามาซึ่งโอกาสและแรงสนับสนุนที่คนรุ่นเดียวกันอาจจะไม่ได้ก็เป็นได้
— ภาษาแรก Humility : ผมยังรู้น้อยครับพี่ พี่สอนผมได้มั้ยครับ
พี่แต๋ม ศุภจี รัฐมนตรีป้ายแดงขวัญใจประชาชนคนล่าสุดที่ทุกคนประทับใจในบุคลิก ความสุภาพและความฉลาดเฉลียวในการตอบคำถาม มีคนรักคนชื่นชมมากมาย พี่แต๋มเคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนทำโรงแรมว่า
“พี่เป็นคนมีความรู้น้อย มาทำโรงแรมก็ความรู้เป็นศูนย์ เลยต้องพยายามศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ทั้งอ่าน ทั้งคุย ทั้งค้นคว้า ทั้งใช้ที่ปรึกษาทีมงาน สิ่งที่เป็นอันตรายมากก็คือคิดว่ารู้แล้วทุกอย่าง ความอันตรายที่สุดคือเราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร”
1
พี่แต๋มเป็นมือใหม่ด้านโรงแรมและปัจจุบันก็การเมือง ก็เหมือนกับคนรุ่นใหม่ในวงการ การที่ยอมรับตัวเองว่ารู้น้อยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะพี่แต๋มก็ประสบความสำเร็จจากที่อื่นมาก่อน แต่พอพี่แต๋มพูดแบบนี้ รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรแบบนี้ ใครฟังก็รัก ก็อยากจะช่วย และพอคิดแบบนี้ พี่แต๋มก็พร้อมเปิดรับความคิดใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ กลายเป็น Super G ขึ้นไปอีก
น้องๆบางคนที่ผมเจอ ยังอายุไม่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเร็วมาก การไม่รู้ตัวเองว่าไม่รู้อะไรก็คือประสบการณ์บางอย่างที่ไม่เจอเองก็จะคิดว่าตัวเองรู้หมด อาจจะเพราะเคยทำอะไรมาแล้วสำเร็จมานิดหน่อย เหมือนกับคนที่เคยเห็นแต่อนุสาวรีย์ชัยฯ แต่กล้าวิจารณ์หอไอเฟลโดยคิดว่ามันก็เหมือนๆกัน ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้นและมองย้อนกลับไปก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้ามาก
“ผมเป็นคนรู้น้อย มีอะไรพี่สอนผมนะครับ” เป็นประโยคที่ถ้ามาจากใจนั้น นอกจากจะได้คนมาสอนให้เก่งขึ้นแล้ว ยังเป็น mindset ที่จะทำให้เราตั้งใจ พัฒนาตัวเอง ไม่เป็นน้ำเต็มแก้วตั้งแต่ยังอายุน้อยซึ่งจะน่าเสียดายสำหรับคนที่มีความสามารถในระดับหนึ่งแล้วอย่างมาก
— ภาษาที่สอง Common Framework : Design thinking and business canvas
ผมเพิ่งได้สัมภาษณ์พี่อัฐ ทองแตง แห่งโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลในเครือ BDMS การบริหารโรงพยาบาลนั้นยากมากเพราะมีคนหลากหลายตั้งแต่คุณหมอที่เก่งๆฉลาดๆ พยาบาล พนักงานในสาขาต่างๆ ไม่รวมถึง generation gap ที่ทุกองค์กรก็ต้องเจอ
พี่อัฐใช้เวลาห้าปีสามารถทำให้โรงพยาบาลที่พี่อัฐดูแล มีนวัตกรรมต่างๆออกมาเพื่อผู้ใช้บริการออกมาเพียบ และผู้คนที่ทำงานในโรงพยาบาลมีความสุข สนุกกับการทำงานมากขึ้นเยอะมาก
พี่อัฐเล่าว่า พี่อัฐพยายามทำให้ทุกคนที่ดูจะพูดคนละภาษา ตั้งแต่ภาษาหมอ ภาษาพยาบาล ภาษาแอดมิน ภาษาคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ให้พูดภาษาเดียวกันให้ได้ เพราะถ้าพูดภาษาเดียวกันได้ การสื่อสาร ความเข้าอกเข้าใจกันก็จะมากขึ้น ช่องว่างระหว่างอาชีพหรือรุ่นก็จะน้อยลง
วิธีที่พี่อัฐใช้ก็คือพยายามให้ทุกคนเรียนเรื่อง design thinking กับ Business canvas ไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพใดหรืออายุเท่าใด ให้เรียนพื้นฐานกันตั้งแต่หมอจนถึงพนักงาน เรียนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ เรียนจนเข้าใจหลักการของทั้งสองเรื่องนี้ชัดเจน
เพราะพอทุกคนเข้าใจเรื่อง design thinking ที่มี empathy เป็นพื้นฐานแล้ว เวลาเจอปัญหาก็จะเข้าใจเรื่อง “pain” ของลูกค้า จะพูดภาษาเดียวกันคือลูกค้าและจะรู้จักทดลองเร็วในการแก้ปัญหานั้นร่วมกัน ถ้าดีก็ขยาย ไม่ดีก็ลองใหม่ เป็นกระบวนการคิดแบบเดียวกัน
ส่วน business canvas ก็คือการสร้างกระบวนการคิดเรื่องธุรกิจ เรื่องความเป็นไปได้อย่างรอบคอบเวลามีไอเดีย หรือมีโครงการที่จะทำอะไรด้วยกัน ลดการโต้เถียงโดยอารมณ์ ไม่รอบด้านลงไปได้มาก
2
การรู้สองภาษานี้ก็จะทำให้กลับมาที่พื้นฐานเวลาทำธุรกิจที่เป็นโมเดลมานานเป็นร้อยปีว่าไม่เกี่ยวกับวัยหรืออายุใดๆ แต่อยู่ที่สองเรื่องเท่านั้น ลูกค้ากับกระแสเงินสด ซึ่งเป็นภาษาสากลที่สุดของธุรกิจนั่นเอง
3
— ภาษาที่สาม Integrity : Promise
ความมั่นใจในตัวเองและไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรนั้น หลายครั้งนำไปสู่การรับปาก สัญญิงสัญญาว่าทำได้ และเพราะรู้น้อย พอทำแล้วไม่ถึงก็จะกลายเป็นความไม่น่าเชื่อถือและกลายเป็นแบรนด์ที่ติดตัวน้องๆไป
ภาพจำของแต่ละคนนั้นเกิดจากเขารู้สึกกับเราอย่างไร ความรู้สึกนั้นเกิดจากการที่เราทำอะไรที่ไม่เท่าความคาดหวัง ทำดีกว่าความคาดหวัง หรือ overdeliver underpromise คนก็จะจำในทางดี ทำแย่กว่าที่เขาคาด คนก็จะทำในทางไม่ดี ไม่กล้าทำอะไรกับเราอีก อันจะนำมาซึ่งการพลาดโอกาสอื่นๆอีกมาก
1
ป๊าผมเคยเขียนจดหมายสอนผมตอนที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ยังเป็นคนรุ่นใหม่ไว้ว่า
 
“ คงจำนิทานที่ป๊าเคยเล่าให้ฟังได้ แบบย่อๆก็คือ มีเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนี่งป่วยหนักใกล้ตาย เรียกลูกๆมาใกล้ๆ สั่งสอนง่ายๆว่า ชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จในการงานและชีวิตส่วนตัวจะต้องมีหลักยึดอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งคือความซื่อสัตย์ และข้อสองคือมีไหวพริบ
ลูกก็ถามพ่อว่าความซื่อสัตย์หมายถึงอะไร พ่อบอกว่าไม่ว่าจะรับปากใคร เรื่องเล็กหรือใหญ่ จะต้องซื่อสัตย์ ทำตามที่รับปากให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้คนก็จะเชื่อถือ ทำอะไรก็จะมีแต่ความสำเร็จ
2
ลูกก็เลยเปรยว่ามีแค่ข้อหนึ่งก็น่าจะพอแล้ว ทำไมต้องมีข้อสองด้วย พ่อก็อธิบายว่า ข้อสองให้มีไหวพริบ ต้องรู้จักฉลาด ไม่รับปากใครง่ายๆ ก่อนรับปากต้องมั่นใจว่าเรามีเวลาพอหรือเปล่า ประโยชน์ที่ได้คุ้มค่าหรือไม่ รับปากเฉพาะที่เราทำได้จริงๆเท่านั้น
..ตอนนี้โจ้อาจจะมีแต่ข้อหนึ่งมากเกินไป และข้อสองน้อยเกินไป อาจจะเป็นเพราะว่าป๊าคอยสอนแต่ข้อหนึ่ง ไม่ค่อยได้สอนข้อสอง ถ้าเด็กๆทบทวนให้ดีจะเห็นว่าสำหรับลูกๆแล้ว ป๊ารับปากอะไรจะพยายามทำให้เสมอ และในขณะเดียวกันถ้าลูกๆรับปากแล้วไม่ทำหรือละเลย ป๊าจะโกรธ เพื่อให้เข้าใจถึงเคล็ดลับสองข้อนี้ “
ผมคิดว่า การที่จะรับปากใครนั้น จะต้องมั่นใจว่าไม่สร้างความคาดหวังจนเกินเลย และเข้าใจศักยภาพของตัวเอง ความไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรจึงน่ากลัวมากเพราะจะทำให้เราพลาดไปรับปากด้วยอีโก้ที่ผิดๆ รับปากเพราะกลัวเสียฟอร์ม ในที่สุดก็กลับมาทิ่มแทงตัวเอง
การที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรพอที่จะกล้ายอมรับ บอกทุกคนด้วยภาษาที่ humble เพื่อเรียนรู้ (learn it all not know it all) การรู้จักใช้ภาษาสากลเรื่องลูกค้าและการเงินในการทำธุรกิจโดยไม่เอาเรื่อง generation มาเป็นอารมณ์ และการที่รู้จักใช้ภาษาให้สามารถ overdeliver underpromise จึงเป็นภาษาที่จะทำให้เราจะสามารถครองใจคน พัฒนาตัวเองและเป็นที่ยอมรับได้โดยไม่ต้องหิวแสงและหลงทาง
1
โอกาสจะประสบความสำเร็จได้มากกว่ามีคนรัก พูดถึงในทางที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันที่คิดว่าตัวเองรู้ไปหมด รับปากซี้ซั้ว และหมกมุ่นกับเรื่องความต่างของวัย
ที่น่าสนใจก็คือ ภาษาเหล่านี้จะยิ่งไพเราะถ้าพูดโดยผู้ใหญ่ โดยคนที่มีอำนาจ ผู้ใหญ่ คนรุ่นเก่าที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ไม่โอ้อวดแต่ทำให้เห็น และไม่บ้าอำนาจแต่บ้าลูกค้า ทำเพื่อองค์กร ก็จะเป็นคนที่เด็กๆเคารพ นับถือเช่นกัน
Humility. Common Framework. Integrity สามเรื่องนี้เป็นภาษาสากลมากๆ พูดไปก็ไพเราะ คุยกันก็เข้าใจและประทับใจ
1
ที่ไม่ว่าเจนไหนก็ใช่เลยนะครับ…
โฆษณา