5 พ.ย. เวลา 03:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🧠 ผลวิจัยครั้งใหญ่เผย: ยาต้านเศร้าแต่ละตัวมีผลข้างเคียงต่างกัน (น้ำหนัก, ความดัน, หัวใจ)

ประมาณ 1 ใน 10 ของผู้คนในยุโรปและสหรัฐอเมริกาใช้ยาต้านเศร้า (antidepressants) เพื่อรับมือกับภาวะอย่างโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล และตัวเลขนี้ก็กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก...
เรามักจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "อาการถอนยา" (withdrawal) เมื่อหยุดยา แต่แล้ว "ผลข้างเคียงทางกายภาพ" ในขณะที่กำลังใช้ยาล่ะ? เป็นที่รู้กันว่ามันมีอยู่ แต่คำถามที่ค้างคาใจวงการแพทย์มานานคือ... ยาตัวไหนกันแน่ที่ทำให้เกิดผลอะไร?
ล่าสุด งานวิเคราะห์ข้อมูลครั้งมโหฬารได้ออกมาให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น และมันอาจเปลี่ยนวิธีที่แพทย์สั่งยาเหล่านี้ไปตลอดกาล
💊 เมื่อยาแต่ละตัว... ทำงานไม่เหมือนกัน
โทบี พิลลิงเจอร์ (Toby Pillinger) และทีมงานจากคิงส์คอลเลจลอนดอน ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCTs) ถึง 151 ฉบับ และรายงานขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) อีก 17 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมยาต้านเศร้าถึง 30 ชนิด!
พวกเขาพบว่ายาแต่ละตัวมี “โปรไฟล์” ผลข้างเคียงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
• เรื่องของน้ำหนัก: ยาบางตัวเชื่อมโยงกับการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น (เช่น Maprotiline เฉลี่ย +1.8 กก.) ในขณะที่ยาบางตัวกลับเชื่อมโยงกับการที่น้ำหนักลดลง (เช่น Agomelatine เฉลี่ย -2.4 กก.)
• เรื่องของหัวใจ: ยาบางตัวทำให้หัวใจเต้นช้าลง (เช่น Fluvoxamine -8 ครั้งต่อนาที) แต่บางตัวกลับทำให้เร็วขึ้น (เช่น Nortriptyline +13 ครั้งต่อนาที)
• เรื่องของความดัน: ยาบางตัว (เช่น Nortriptyline) ช่วยลดความดันโลหิตตัวบน (systolic blood pressure) ได้ 3-7 mmHg แต่ยาอย่าง Doxepin กลับทำให้มันเพิ่มขึ้น เกือบ 5 mmHg!
• เรื่องของคอเลสเตอรอล: ยาอื่นๆ เช่น Paroxetine, Duloxetine และ Venlafaxine ก็มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล
ผลกระทบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยครับ โอลิเวอร์ ฮาวส์ (Oliver Howes) หนึ่งในทีมวิจัยชี้ว่า “ทุกๆ 1 mmHg ที่ความดันโลหิตของคุณเพิ่มขึ้น (หากคุณมีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว) มันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นสโตรกถึง 1%”
🎯 เป้าหมายคือ “การสั่งยาที่ใช่ สำหรับคนที่ใช่”
ในบรรดายาที่ถูกสั่งจ่ายบ่อยที่สุดในอังกฤษ (ซึ่งหลายตัวก็เป็นที่นิยมในไทย) พบว่า Amitriptyline มีผลเพิ่มทั้งน้ำหนัก, อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต ในขณะที่ Venlafaxine ก็เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ, ความดัน และคอเลสเตอรอล ส่วนยาอีก 4 ตัวที่พบบ่อย (Sertraline, Mirtazapine, Fluoxetine, Citalopram) มีโปรไฟล์ที่ค่อนข้างดีในปัจจัยส่วนใหญ่ที่ตรวจสอบ
“มันคือการค้นหาโมเลกุลที่ใช่สำหรับคนที่ใช่ และมีส่วนร่วมในการสั่งยาแบบเฉพาะบุคคล” พิลลิงเจอร์กล่าว ทีมของเขากำลังพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อช่วยให้แพทย์สามารถเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้
Network plots for mean differences of antidepressant drugs compared with placebo
⚠️ ข้อควรพิจารณาและคำเตือนที่สำคัญ
แน่นอนว่างานวิจัยนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย จอห์น ไอโอแอนนิดิส (John Ioannidis) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชี้ว่า ผลลัพธ์อาจเอนเอียงได้หากทีมวิจัยเลือกมาเฉพาะการศึกษาที่แสดงผลข้างเคียง และที่สำคัญคือ คนส่วนใหญ่กินยาต้านเศร้านานกว่า 8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่การศึกษานี้ครอบคลุม ทีมวิจัยก็ยอมรับในข้อจำกัดนี้และกำลังดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลในระยะยาวต่อไป
🏡 ทำไมการพูดคุยกับแพทย์จึงสำคัญสำหรับผู้ป่วยชาวไทย
การค้นพบล่าสุดเกี่ยวกับยาต้านเศร้า (Antidepressants) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ป่วยชาวไทยที่กำลังใช้ยากลุ่มนี้อยู่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวตอกย้ำว่า ผู้ป่วยไม่ควรลังเลที่จะเปิดใจพูดคุยกับแพทย์ หากมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อาการใจสั่น หรือความไม่สบายอื่นๆ
ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ฮาวส์ (Howes) เน้นย้ำว่า การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับแพทย์คือหนทางที่ดีที่สุดในการค้นหา “ยาที่เหมาะสม” สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งในด้านสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจส่งผลเสียต่อการรักษาและสุขภาพโดยรวม
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ยาต้านเศร้าไม่เหมือนกัน: งานวิเคราะห์ครั้งใหญ่ยืนยันว่า ยาต้านเศร้า 30 ชนิด มีผลข้างเคียงทางกายภาพ (ต่อน้ำหนัก, อัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, คอเลสเตอรอล) ที่แตกต่างกันอย่างมาก
✅ มีทั้งขึ้นและลง: ยาบางตัวทำให้น้ำหนักขึ้น (เช่น Maprotiline) ในขณะที่บางตัวทำให้น้ำหนักลด (เช่น Agomelatine)
✅ ความเสี่ยงที่ต้องรู้: ยาที่ใช้บ่อยบางตัว (เช่น Amitriptyline, Venlafaxine) มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
✅ อนาคตคือการรักษาเฉพาะบุคคล: ข้อมูลนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกยาที่เหมาะสมกับโปรไฟล์สุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคนได้ดีขึ้น
✅ ห้ามหยุดยาเอง: หากผู้ป่วยมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง ควรสื่อสารและปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษา ห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
การได้รู้ว่ายาแต่ละตัวมี ‘โปรไฟล์’ ที่แตกต่างกันขนาดนี้ ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจในการพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความกังวลของคุณมากขึ้นหรือไม่ครับ?
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Pillinger, T., et al. (2025). The effects of antidepressants on cardiometabolic and other physiological parameters: a systematic review and network meta-analysis. The Lancet. https://doi.org/p97v
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา