วันนี้ เวลา 12:39 • ธุรกิจ

ใครฆ่า Foodpanda? จากเบอร์ 1 สู่ผู้แพ้ เปิดโปง 4 อสูรผู้ล้มยักษ์สีชมพู

ถ้าเราลองเปิดมือถือดูแอปสั่งอาหารในวันนี้ เราอาจจะคุ้นเคยกับสีเขียวของ Grab หรือ LINE MAN และสีส้มของ ShopeeFood
แต่มีอยู่สีหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “เจ้าตลาด” แต่กำลังจางหายไป… นั่นก็คือสีชมพูของ Foodpanda
เคยมีช่วงเวลานึง ที่ถ้าพูดถึงการ “สั่งอาหาร” Foodpanda คือคำตอบแรก คือผู้บุกเบิก คือยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันล้ม
แต่มาวันนี้ สถานการณ์กลับตาลปตร บริษัทแม่ในเยอรมนีอย่าง Delivery Hero ประกาศหาคนซื้อกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
คำถามที่ทุกคนสงสัยก็คือ… เกิดอะไรขึ้นกับ Foodpanda?
ใครคือคนที่ “ฆ่า” ธุรกิจนี้ให้ตายออกจากประเทศไทย?
ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การฆาตกรรมโดยคนร้ายเพียงคนเดียว แต่มันคือการ “รุม” สังหาร จากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป และคู่แข่งที่มาในร่างของ “อสูรกาย” ที่ Foodpanda ไม่สามารถต่อกรได้
ย้อนกลับไปประมาณสิบกว่าปีก่อน Foodpanda ถือกำเนิดขึ้นในระดับโลก และเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในเวลาไล่เลี่ยกัน ราวปี 2012
ในยุคนั้น… การสั่งอาหาร Delivery ยังเป็นเรื่องที่ “เฉพาะกลุ่ม” มาก
ถ้าไม่นับแบรนด์พิซซ่าหรือไก่ทอดเจ้าดัง การที่เราจะสั่ง “ข้าวมันไก่” หน้าปากซอย หรือ “ส้มตำ” ร้านโปรด มาส่งที่บ้าน แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เราต้องมีเบอร์โทรร้าน ต้องมีเมนูกระดาษที่ยับยู่ยี่เก็บไว้ ต้องโทรไปสั่ง แล้วก็ต้องพยายามอธิบายทางให้คนส่งของเข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก
Foodpanda คือผู้เล่นรายแรกๆ ที่มองเห็น “ช่องว่าง” นี้ พวกเขาเข้ามา “ปฏิวัติ” วงการนี้ ด้วยสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง นั่นคือ “การรวบรวมร้านอาหารมาไว้บนแอปพลิเคชัน”
สิ่งที่ Foodpanda ทำในยุคแรก มันไม่ใช่แค่การสร้างแอป แต่มันคือการ “สร้างตลาด” พวกเขาต้องส่งทีมงานไปเคาะประตูร้านอาหารตามตึกแถว ร้านเล็กๆ ที่ไม่เคยรู้จักโลกออนไลน์
ต้องไปอธิบายว่า “เดี๋ยวเราจะเอาเมนูคุณขึ้นแอปนะ” “เดี๋ยวจะมีคนไปรับอาหาร” “คุณแค่รอออเดอร์เข้า” และที่สำคัญที่สุด พวกเขา “สร้าง” อาชีพใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย นั่นคือ “Rider” หรือคนส่งอาหารจากที่ไม่มีอยู่จริง ให้กลายเป็นเครือข่ายคนส่งอาหาร ที่พร้อมวิ่งไปทุกที่เพื่อส่งมื้ออร่อยให้เรา
ในช่วง 5-6 ปีแรก Foodpanda เติบโตอย่างเงียบๆ แต่แข็งแกร่ง
โลโก้แพนด้าสีชมพู กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ “อัปเกรด” วิถีชีวิต เราเริ่มคุ้นเคยกับการเห็นพี่ๆ ไรเดอร์ในเสื้อแจ็กเก็ตสีชมพูวิ่งกันทั่วเมือง
ในยุคบุกเบิก Foodpanda จึงเปรียบเหมือน “ราชา” ในดินแดนที่ยังไม่มีคู่แข่ง พวกเขามีความได้เปรียบของผู้มาก่อน หรือ First-Mover Advantage
พวกเขามีทั้งฐานข้อมูลร้านค้า มีทั้งฐานลูกค้า และมีแบรนด์ที่คนจดจำได้เป็นอันดับแรก
ทุกอย่างดูเหมือนจะสวยงาม…
แต่ความได้เปรียบนั้น กำลังจะหมดไป
เพราะ “น่านน้ำสีคราม” หรือ Blue Ocean ที่พวกเขาค้นพบ กำลังจะเปลี่ยนเป็น “มหาสมุทรสีเลือด” หรือ Red Ocean เมื่อ “อสูรกาย” ตนอื่น เริ่มมองเห็น “ขุมทรัพย์” เดียวกันนี้
ซึ่งถ้าเปรียบ Foodpanda เป็น “นักรบเดี่ยว” ที่เก่งกาจในเรื่องการ “ส่งอาหาร” คู่แข่งที่ก้าวเข้ามา… พวกเขาคือ “กองทัพ”
เป็นกองทัพที่มี “ระบบนิเวศ” หรือ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบกว่า
ขอแนะนำ “ผู้ต้องสงสัย” รายแรก… “ยักษ์เขียว Super App” … Grab
Grab ไม่ได้เริ่มต้นจากธุรกิจอาหาร พวกเขาเริ่มจากการขนส่งคน หรือ Ride-Hailing พวกเขาคือผู้ที่เข้ามา “ปฏิวัติ” วงการแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ในบ้านเรา
พวกเขาทำให้การเรียกรถเป็นเรื่องง่าย และที่สำคัญ พวกเขา “ผูก” บัตรเครดิตของเราไว้กับแอปได้สำเร็จ
เมื่อฐานที่มั่นเรื่อง “การเดินทาง” แข็งแกร่ง… ก้าวต่อไปก็ชัดเจน นั่นคือ “การส่งอาหาร”
ตอนที่ Grab กระโดดเข้ามาทำ GrabFood พวกเขามีสิ่งที่ Foodpanda ไม่มีติดตัวมาด้วยนั่นคือ “ฐานลูกค้า” จากการเรียกรถ และ “ระบบการเงิน” ที่ชื่อว่า GrabPay
เมื่อคนเราชินกับการจ่ายค่ารถผ่าน GrabPay การจะกดจ่ายค่าอาหารด้วยวิธีเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
Grab รู้ว่าเราเดินทางจากบ้านไปออฟฟิศที่ไหน เขารู้ว่าเราชอบไปเที่ยวแถวไหน เขามี “ข้อมูล” ลูกค้าที่ลึกกว่า Foodpanda ที่รู้แค่ว่าเราชอบกินอะไร
แต่กลยุทธ์ที่ “ฆ่า” Foodpanda จริงๆ คือการสร้าง Ecosystem Lock-in หรือการล็อกลูกค้าไว้ในระบบ
Grab สามารถใช้กลยุทธ์ “อุดหนุนข้ามสายธุรกิจ” หรือ Cross-subsidize เขาอาจจะ “เผาเงิน” ขาดทุนยับเยินกับค่าส่งอาหาร…
แต่เขาสามารถเอา “กำไร” หรือ “กระแสเงินสด” จากบริการเรียกรถ หรือบริการส่งของ GrabExpress มาโปะได้
เขาสามารถออกแพ็กเกจ “GrabUnlimited” ที่ให้ส่วนลดทั้งค่ารถและค่าอาหาร ดึงให้ลูกค้า “ติดกับ” อยู่ในแอปของเขาไม่ไปไหน
ในขณะที่ Foodpanda… มีแค่ธุรกิจส่งอาหาร เมื่อขาดทุนจากการส่งอาหาร… ก็คือ “ขาดทุน” เลย ไม่มีธุรกิจอื่นมาช่วยพยุง
การต่อสู้ครั้งนี้ มันเหมือน Foodpanda กำลังชกด้วย “หมัด” แต่ Grab กำลังชกด้วย “หมัด, เท้า, เข่า, ศอก” แถมยังมี “ระบบการเงิน” เป็นอาวุธลับ
แต่เดี๋ยวก่อน… “ฆาตกร” ไม่ได้มีแค่คนเดียว
ขอแนะนำ “ผู้ต้องสงสัย” รายที่สอง… รายนี้ “น่ากลัว” ยิ่งกว่า เพราะมันคือการรวมพลังของ “เจ้าที่”
“ยักษ์เขียวอ่อน Local Power” … LINE MAN Wongnai
ถ้า Grab คือยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ นี่คือ “มหาอำนาจ” ที่เกิดจากการรวมตัวของคนไทย และการรวมตัวนี้… มัน “สมบูรณ์แบบ” เป็นอย่างมาก
ลองมาดูส่วนผสมของพวกเขา
ส่วนผสมที่หนึ่ง: LINE … แอปแชทที่คนไทย “ทุกคน” มีในมือถือ มันคือ “ประตู” บานแรกที่เข้าถึงคน 50 กว่าล้านคนในประเทศนี้
ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ หรือ User Acquisition Cost ของ LINE MAN จึงต่ำจนน่าใจหาย เพราะเขาแค่ฝังบริการลงไปในแอป LINE ที่เราใช้ส่งสติกเกอร์กันทุกวัน
ส่วนผสมที่สอง: Wongnai … นี่คือ “คัมภีร์” ร้านอาหารของไทย Wongnai ไม่ได้มีแค่ “รีวิว” แต่พวกเขามี “ความสัมพันธ์” ที่ลึกซึ้งกับร้านอาหาร พวกเขามีระบบจัดการร้านอาหาร หรือ POS ที่ร้านค้าใช้กันทั่วประเทศ
เมื่อ LINE MAN กับ Wongnai รวมร่างกัน… มันคือหายนะของคู่แข่ง
LINE MAN คุม “ปลายน้ำ” คือ ลูกค้าผู้หิวโหย Wongnai คุม “ต้นน้ำ” คือ ร้านอาหารผู้ทำครัว
ขณะที่ Foodpanda ต้องส่งเซลส์ไปวิ่งดีลร้านอาหารทีละร้าน… Wongnai มีร้านอาหารในมือเป็นแสนๆ ร้านอยู่แล้ว
ขณะที่ Foodpanda ต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อโฆษณาให้คนโหลดแอป… LINE MAN แค่ส่ง Message หากลุ่มลูกค้าใน LINE
นี่คือการต่อสู้ที่ Foodpanda เสียเปรียบตั้งแต่โครงสร้าง เพราะคู่แข่ง “เป็นเจ้าของ” ทั้งระบบ ตั้งแต่หน้าร้านยันหน้าจอมือถือของลูกค้า
ยัง… ยังไม่หมดครับ “ฆาตกร” รายที่สามเพิ่งก้าวเข้ามา แต่มาแบบ “กระเป๋าหนัก”
ขอแนะนำ “ผู้ต้องสงสัย” รายที่สาม… “ยักษ์ส้ม E-commerce” … ShopeeFood
Shopee คือใคร… คือเจ้าแห่งแพลตฟอร์ม E-commerce ที่ “เปลี่ยน” พฤติกรรมการซื้อของคนไทยไปตลอดกาล
Shopee ไม่ได้เข้ามาเพื่อ “ชนะ” ในเกมส่งอาหาร พวกเขาเข้ามาเพื่อ “เติมเต็ม” ระบบนิเวศ E-commerce ของตัวเอง
อาวุธของ Shopee คือ “ShopeePay” และ “Shopee Coins” พวกเขาดึงลูกค้าด้วยการบอกว่า “สั่งอาหารสิ… เดี๋ยวได้ Coins เอาไปลดค่าส่งตอนซื้อของใน Shopee” หรือ “ใช้ Coins ที่ได้จากการซื้อของ มาเป็นส่วนลดค่าอาหาร”
เป้าหมายของ Shopee ไม่ใช่การ “ทำกำไร” จากการส่งอาหารในระยะสั้น เป้าหมายของเขาคือการดึงให้คนใช้เวลาอยู่ใน “จักรวาล Shopee” นานที่สุด ใช้จ่ายในนั้นเยอะที่สุด
ShopeeFood เป็นแค่ “จิ๊กซอว์” ตัวหนึ่ง หรือเป็นแค่ “เครื่องมือ” สร้าง Traffic เท่านั้น ในแผนการที่ใหญ่กว่ามากของบริษัทแม่อย่าง Sea Group
ทีนี้… เรามาดู Foodpanda กันอีกครั้ง
Foodpanda เป็น “Single App” หรือ “แอปเดี่ยว”
เขาไม่ได้มีบริการเรียกรถเหมือน Grab เขาไม่ได้มีแอปแชทคนใช้ 50 ล้านคนเหมือน LINE เขาไม่ได้มีแพลตฟอร์ม E-commerce อันดับหนึ่งเหมือน Shopee
Foodpanda มีแค่ “การส่งอาหาร”
และเมื่อทุกคนกระโดดเข้ามาเล่นในเกมนี้… อาวุธเดียวที่ทุกคนใช้เหมือนกัน และใช้หนักที่สุด ก็คือ “สงครามโปรโมชั่น” หรือที่เรียกกันว่า “Cash-Burning War” สงครามเผาเงิน
ส่วนลด 50%, ค่าส่ง 0 บาท, ซื้อ 1 แถม 1…
มันคือสงครามที่ “ใครสายป่านยาวกว่า คนนั้นชนะ”
ในช่วง COVID-19 ตลาดนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว สงครามนี้รุนแรงถึงขีดสุด ทุกคนแห่กันมาสั่งอาหาร มันเหมือนจะเป็น “ข่าวดี” ของ Foodpanda… แต่จริงๆ แล้ว มันคือ “จุดเริ่มต้นของจุดจบ”
เพราะยิ่งตลาดโต… “แผล” ของ Foodpanda ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
ยิ่งต้องสู้… ก็ยิ่งต้อง “เผาเงิน” มากขึ้น
ในขณะที่ Grab เอาเงินจากธุรกิจ “เรียกรถ” มาเผา ในขณะที่ Shopee เอาเงินจาก “E-commerce” มาเผา ในขณะที่ LINE MAN เอา “ฐานลูกค้า” มาเผา…
Foodpanda ต้องเอา “เงินทุน” ที่ระดมมาจากบริษัทแม่ Delivery Hero มาเผาอย่างเดียว เป็นการต่อสู้ที่ “ต้นทุน” ไม่เท่ากันตั้งแต่แรก
และมันมีอีกปัจจัยที่โหดร้ายมากในธุรกิจนี้ นั่นคือ “Customer Loyalty” หรือความภักดีของลูกค้า… มัน “เท่ากับศูนย์”
พูดกันตามตรง… ผู้บริโภคอย่างเรา “ไม่ภักดี” ต่อแบรนด์ เราคนไทย เปิด 3-4 แอปเทียบกัน แอปไหนถูกสุด… เราสั่งแอปนั้น เราไม่ได้รักแบรนด์แพนด้าสีชมพู หรือแบรนด์สีเขียว เรารัก “ส่วนลด” เรารัก “เงินในกระเป๋า”
เมื่อ Foodpanda เป็น “แอปเดี่ยว” ที่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบด้านอื่นได้ นอกจาก “ราคา” พวกเขาก็ถูกบีบให้ต้องสู้ใน “สงครามราคา” ที่ตัวเองเสียเปรียบที่สุด
เมื่อสู้ไปนาน ๆ “ฟันเฟือง” อื่นๆ ก็เริ่มพัง
ไรเดอร์ก็เริ่มหนีไปหาค่ายที่ให้ “งาน” เยอะกว่า ให้ “ค่ารอบ” ดีกว่า
ร้านอาหารก็เริ่มเทไปหาแพลตฟอร์มที่ “เก็บ GP” หรือค่าคอมมิชชั่น ถูกกว่า หรือมี “ลูกค้า” สั่งเยอะกว่า
Foodpanda ค่อยๆ ถูกบีบจากทุกทาง… ถูกบีบจากคู่แข่งที่ “รวยกว่า” และมี “ระบบ” ดีกว่า
และแล้ว… “ฟางเส้นสุดท้าย” ก็มาถึง
“ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ทุกอย่างจบลง ไม่ได้เกิดขึ้นในสมรภูมิกรุงเทพฯ แต่มันเกิดขึ้นที่ “แฟรงก์เฟิร์ต” ประเทศเยอรมนี
บริษัทแม่ของ Foodpanda คือ Delivery Hero เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
หลังยุค COVID-19 โลกทั้งใบเปลี่ยนไป ยุค “เงินฟรี” หรือ “เงินหาง่าย” ที่ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน มันจบลงแล้ว อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้น นักลงทุนเลิก “คลั่ง” ใน “การเติบโต” หรือ Growth
และหันกลับมาถามคำถามที่ “เจ็บปวด” ที่สุด… “แล้วเมื่อไหร่จะ ‘กำไร’?”
นักลงทุนที่เคยสนับสนุน “การเผาเงิน” เพื่อยึดตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้… เริ่มไม่สนับสนุนอีกต่อไป พวกเขาเริ่มกดดัน Delivery Hero ว่า “คุณต้องทำกำไรได้แล้ว เลิกเผาเงินเล่น”
เมื่อมองมาที่ประเทศไทย… สมรภูมินี้มัน “โหด” เกินไป
การจะต่อสู้กับ Grab และ LINE MAN Wongnai ต่อไป… มันหมายถึงต้อง “เผาเงิน” อีกมหาศาล และไม่รู้ว่าจะชนะเมื่อไหร่
ในขณะที่ตลาดอื่นในยุโรป หรือตะวันออกกลาง ที่ Delivery Hero ทำธุรกิจอยู่ อาจจะ “ทำกำไร” ได้ง่ายกว่า
และมันดันมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดดราม่าขึ้นในประเทศไทยที่ทำให้ Foodpanda เกิดวิกฤติอย่างหนักจนทำให้ผู้ใช้ลดลงกว่า 20-25% ภายในไม่กี่วัน
ในช่วงปี 2021 ช่วงนั้นเกิดโควิด ประชาชนโกรธรัฐบาลอย่างหนัก จนเกิดประท้วง
คนประท้วงพยายามจุดไฟเผา และเดินไปขึ้นรถที่มีกล่อง Foodpanda ชาวเน็ตเลยท้วงถามไปยังแบรนด์ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร
คำตอบที่ได้จากแบรนด์ Foodpanda ในตอนนั้นก็คือ “ทางเราจะเร่งดำเนินการตามกฎระเบียบขั้นเด็ดขาดของบริษัท โดยให้พ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที ขอเรียนให้ทราบว่า ทางฟู้ดแพนด้ามีนโยบายต่อต้านความรุนแรงและการก่อการร้ายทุกรูปแบบ และยินดีช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดีต่อคนร้ายอย่างเต็มที่”
ในคำตอบนี้มีคำว่า “ก่อการร้าย” ทำให้คนในเน็ตไม่พอใจหนัก ที่แบรนด์เหมือนเข้าข้างรัฐบาล จนเกิดกระแส #แบนfoodpanda ไปทั่วโลกโซเชียล
ซึ่งเมื่อรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งคู่แข่งอันโหดหิน ทั้งสภาวะตลาดโลก และกระแสดราม่าทางการเมือง
ในที่สุด… “บอร์ดบริหาร” ก็ตัดสินใจ
“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” … ไม่ใช่ “สมรภูมิหลัก” อีกต่อไป
การต่อสู้ที่นี่… มัน “แพง” เกินไป
จึงเป็นที่มาของข่าวใหญ่… Delivery Hero ประกาศ “ขาย” กิจการ Foodpanda ใน 7 ประเทศ รวมถึงไทย
มันคือการ “ยอมแพ้” อย่างเป็นทางการ หรือการ “ยกธงขาว” แม้ว่าในเวลาต่อมา การเจรจาขายกิจการให้กับ Grab จะล้มเหลวไปก็ตาม
แต่มันก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “บริษัทแม่” ไม่พร้อมจะอัดฉีดเงินสู้ “ลูก” คนนี้ต่อไปแล้ว
การที่ Foodpanda ต้องถอยทัพ… มันจึงไม่ใช่ความผิดของพนักงานในไทย หรือไรเดอร์ แต่โครงสร้างของธุรกิจมัน “สู้ไม่ได้” ตั้งแต่แรก
ถ้าเราจะสรุป “คดีฆาตกรรม” นี้…
ใครคือ “คนฆ่า” Foodpanda?
คำตอบคือ… มันคือ “การรุมสังหาร”
ผู้ต้องสงสัยที่หนึ่งคือ Grab ที่ฆ่าด้วยอาวุธ “Super App” และ “Ecosystem Lock-in”
ผู้ต้องสงสัยที่สองคือ LINE MAN Wongnai ที่ฆ่าด้วยการครอง “ระบบนิเวศ” ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
ผู้ต้องสงสัยที่สามคือ ShopeeFood ที่ฆ่าด้วย “สงครามราคา” ที่ใช้เงินจาก E-commerce มาอุดหนุน
แต่ “ฆาตกร” ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง… คือ “สภาวะตลาดโลก”
ที่เปลี่ยนจากยุค “คลั่งการเติบโต” มาเป็นยุค “บีบให้ทำกำไร”
Foodpanda ตายเพราะ… พวกเขาเป็น “Single App” หรือแอปเดี่ยว ที่พยายามต่อสู้ในสงครามของ “Super App” พวกเขาตายเพราะ… “ความภักดีของลูกค้า” ในตลาดนี้ มันไม่มีอยู่จริง คนวิ่งตาม “ส่วนลด” ไม่ได้วิ่งตาม “แบรนด์”
และพวกเขาตายเพราะ… “เงิน” ที่ใช้ “เผา” มันหมดก่อนคู่แข่ง
เรื่องราวของ Foodpanda จึงเป็น “บทเรียน” ราคาแพงในโลกธุรกิจว่าการเป็น “คนแรก” หรือ First-Mover ไม่ได้การันตีว่าคุณจะเป็น “ผู้ชนะ”
ในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน… คนที่มี “ระบบนิเวศ” หรือ Ecosystem ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น…
ถึงจะเป็น “ผู้รอด” คนสุดท้าย
References : [techinasia,bangkokpost,thairath,sanook,longtunman]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/who-killed-foodpanda/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา