เมื่อวาน เวลา 18:24 • ปรัชญา
จิตเรานี้มันชอบยึด กายนี้ก็ยึด อารมณ์นี้ก็ยึด เจ็บปวด คันตรงนั้นตรงนี้ ก็ยึด .ไปตามอารมณ์ มีอารมณ์อุปโลกน์ ให้ความนึกคิด .มีอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ เกิดขึ้น จิตก็ยึด . ทำอย่างไรหนอ จะไม่ยึดถือ สิ่งที่เรื่องว่า อารมณ์กรรมตัวกระทำต่างๆ ยึดเงินทองไปจนผ้าขี้ริ้วก็ยึด .ของบูดเน่า ไสยศาสตร์ ต่างๆ ก็ยึดถือ ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ตัวกระทำไสยศาสตร์ เรียกร้องของเน่ามาอยู่อาศัยในกายนี้ มันจึงเกิดเรื่องความทุกข์มากมาย แต่จิตนั้นกลับไม่รู้จัก..ทุกข์ กลับเอาหลงเอาอารมณ์นึดคิดนั้น เป็นจิต.รู้จักจิตของตัวเองไม่ได้เลย
เรื่องของจิต ..นั้นเป็นนามธรรม ที่เวลา พูดกัน ที่ว่าจิตจุติ ด้วยจิตนั่นมีกรรมนำเกิด มาอาศัย กายมนุษย์ กายนี้ก็มีเรื่องของคำว่าขันธ์ห้า ..ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตอยู่ในขันธ์ห้า มัที่ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุทั้งสี่ การที่จะรู้จัก เรื่องราวของจิต จริง . เราก็นำกายมานั่ง ให้กายนิ่ง จิตนิ่ง ฝึกหัด ขึ้นมา .. ด้วยอาศัย การฝึกหัด ภาวนา สมาธิ ..ของพระพุทธเจ้านั่น กายนิ่ง จิตนิ่ง
เมื่อเราฝึกหัด สมาธิให้เชจิตนั้นเป็นหนึ่งได้ หรือ ที่เค้าว่า เอกัตคตาจิต เมื่อทำได้ ความรู้สึกของกายนั้นก็ไม่มี เหบือแต่จิตดวงเดียว กายก็ไม่มี เราทำสมาธิทให้เหลือ แต่จิตดวงเดียวได้ เ่ราก็จะรู้จัก คำว่าว จิตดวงเดียว จิตมีแสงสว่าง ที่มาอาศัยกาย สิ่งที่ทำให้จิตนึ่งไม่ได้ ก็คืออารมณ์กรรม จิตยังไปอาศัยในสิ่งที่เรียกว่า ตัวกระทำ ดีชั่ว อย่างไร กต้องทำไปจนถึงคว่า ธาตุทั้งสี่ . ก็จะเรียกจัก กรรามที่จิตหลงใหล อารมณ์กรรมตัวกระทำ
เรื่องตัวกระทำนั้น ค่อนข้างลี้ลับ เห็นได้ยากรู้จักยาก เรื่องราวนี้ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่น ว่า วันนี้ เรานึกจะไปวัด ไปวันอาทิตย์ ไปหาพระที่นับถือ พอเรานึกปุ๊บ ตัวกระทำก็ไปปรากฏให้พระท่านเห็น ก่อนแล้ว
เรื่องตัวกระทำนี่ แปลก ..เรานั่งทำงานชั้นสอง มีน้องขึ้นบันไดมา ตะโกนเสียงหลง ..ใช่พี่เปล่าเนี่ยๆ เราก็บอกว่า เรานั่งทำงานอยู่ตรงนี้ ท่าทางน้องเค้าพูด เสียงสั่น ว่าเราเห็นเราเดินลงบันไดไป ..เราก็ไปสอบถามเรื่องนี้ ก็พระ ..ที่นับถือ ..ท่านบอกว่า ที่นั่งอยู่ทำงาน อยู่ อยากไปเข้าห้องน้ำ ..นึกว่าจะไป แต่ก็ยังทำงานอยู่ ..ตัวกระทำก็ออกไปก่อนแล้ว ..
คราวนี้ พอเดินจงกรม ..เดินไปเดินมา ..ก็มีเงาสีดำ..ออกมาจากตัวเรา เดืนนำหน้า ทางจงกรม .เห็นตินแรงนึกว่า ..ผี .นั่นก็คือ สิ่งที่ทำอะไรต่างๆ เค้าเรียก จิดเดินตามอารมณ์กรรมตัวกระทำ
เรื่องตัวกระทำนี้ แหละ เราเคยไปตีเค้า ด่าเค้า ฆ่าใคร ..เกิดมาเจอกัน ก็ทำร้ายกัน ก็ด้วย ตัวกระทำทีเราเคยสร้างไว้ เราด่าเค้า ตีเค้า เค้าก็มาด่าเรา ตีเราบ้าง เป็นบัญชีกรรม ที่ต้องชดใช้ แล้วยังมีเรื่องราวธาตุทั้งสี่อีก เค้าไม่ได้กายมาสร้างกรรม เราก็จะต้องถูกทำโทษ
คราวนี้ จิตเราที่อาศัยอยู่ในกาย ก็เหมือน คนที่อยู่ในถ้ำมืด ก็ต้องทำให้จิตนั้นมาแสงสว่างขึ้น เพื่อจะ นำไปใช้ เรียนรู้ว่า จัต..เรื่องราวความโลภโกรธหลง นั่นเป็นอย่างไร ..คราวนี้ จิตเรามันยังไม่โต ..พูดเท่าไร มีไม่รู้ ..เหมือนต้นไม้ ตอไม้ มันเฉา บอกเท่าไหร่ ก็รับรู้ ทำตามทางที่พระท่านชี้ให้ ก็ทำไม่ได้ ไม่สามารถมองเห็นว่า ทางที่พระท่านขี้ทางให้ ไม่ฝึกหัดปฏิบัติ
เรื่องราวของการฝึกหัด ที่เค้าว่า จิตเราได้กาย เหมือนได้เรือมาลำหนึ่ง มาพายเรือทวนน้ำ กระแสน้ำ พายเรื่อทวนเคลื่อนกระแสอารมณ์ ที่ปะทะหัวเรือ ที่เป็นอารมณ์ต่างๆ คนเราไม่พายเรือทวนน้ำ ปล่อยเรือตามน้ำ เรือแตกจิตก็ตกอยู่ใต้ท้องทะเล
เมื่อไม่ปฏิบัติ ฝึกหัด ขึ้นมา เราก็ไม่สามรถ แยกกาย แยกอารมณ์ ทำจิตให้เหนืออารมณ์ไม่ได้เลย ที่เค้าว่า อยู่กับกายก็ไม่รู้จักกายที่อาศัย อยู่กับอารมณ์ ก็ไม่รู้จักอารมณ์ ที่ไปสร้าง ไปดึงตัวกระทำเข้า อยู่ข้างจิต นั่นก็คือ พระท่านบอกไปก็ไม่รู้ เพราะ เรืองอารมณ์โลภโกรธหลง ทีก็อยู่กับกายนี้ ..กายนี้ ขันธ์ห้า ไม่เที่ยง ทำกายให้นิ่ง จิตไม่นิ่ง ก็เลยไม่รู้จักจิตของตัวเองได้เลย
โฆษณา