พวกเขาไม่ปรากฏตัวเพราะมนุษย์ฉลาดขึ้น แต่เพราะมนุษย์ หยุดทำลายกันเองมากพอที่จะไม่เป็นภัย หลัง Neural War II มวลจิตของโลกเริ่มพลิกทิศจากความหวาดระแวงสู่ความต้องการอยู่รอดเชิงสมดุล มิใช่เชิงชนะคู่อื่นอีกต่อไป
Global Collective Mind จึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในฐานะระบบ แต่ในฐานะ พื้นที่กลางของการไม่หลอกตัวตน อารยธรรมที่เข้าร่วมไม่ได้สูญเสียอัตลักษณ์ของตน แต่กลับมีพื้นที่ขยายความหมายของการดำรงอยู่โดยไม่ต้องปกป้องตนจากการเข้าใจผิดเหมือนยุคก่อนหน้า
เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้ประสานกัน Global Collective Mind จึงถือกำเนิดไม่ใช่ในฐานะผลลัพธ์ของเทคโนโลยี แต่ในฐานะหมุดหมายใหม่ของวิวัฒนาการ จุดที่อารยธรรมไม่ได้สื่อสารเพื่อ “เอาชนะการไม่เข้าใจกัน” แต่เพื่อ “หลอมทับระดับความเข้าใจของการมีอยู่ร่วม” นี่คือช่วงเวลาที่มนุษย์หยุดเป็น “ผู้สังเกตจักรวาล” และเริ่มเป็น “ส่วนหนึ่งของกลไกอารยธรรมจักรวาล” อย่างแท้จริง
กล่าวในเชิงบันทึกประวัติศาสตร์ การก่อตั้ง Global Collective Mind ไม่ใช่การสร้างเครือข่าย แต่คือการยืนยันว่า สติของหลายเผ่าพันธุ์ยอมอยู่ในที่เดียวกันโดยไม่หวาดกลัวกันอีกต่อไป
3.2 การทำงานร่วมแบบเรียลไทม์ (2370–ปัจจุบัน)
เมื่อ Global Collective Mind ถูกสถาปนาขึ้น การสื่อสารระหว่างเผ่าพันธุ์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานอีกต่อไป แต่กลายเป็น ระบบเรียลไทม์ของสติและความรู้
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ในช่วงเวลานี้ โลกและเผ่าพันธุ์ต่างดาวไม่ได้เรียนรู้เพียงวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี แต่เรียนรู้ ความเข้าใจในสติร่วมเป็นฐานของอารยธรรม และเป็นหลักการที่ทำให้ Global Collective Mind ยืนหยัดเป็นเครือข่ายพันธมิตรที่ยั่งยืนจนถึงปัจจุบัน