5 พ.ย. เวลา 11:18 • ประวัติศาสตร์

เหตุใด 1 วันจึงมี 24 ชั่วโมง? ทำไมจึงไม่เป็น 25 หรือ 20 ชั่วโมง?

คุณเคยจ้องมองนาฬิกาแล้วสงสัยไหม ทำไมต้อง 24 ชั่วโมง?
ทำไมไม่เป็น 10 หรือ 100? ใครเป็นคนตัดสินใจให้เวลาทั้งหมดของเราหมุนรอบตัวเลขลึกลับนี้?
คำตอบนั้นจะพาเราย้อนกลับไปหลายพันปีก่อน สู่ทะเลทราย วัดโบราณ และอารยธรรมใต้ผืนฟ้า ตั้งแต่ก่อนจะมีนาฬิกาข้อมือหรือสมาร์ตโฟนเสียอีก
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “เวลา” แต่มันคือเรื่องราวของมนุษย์ที่พยายามเข้าใจจังหวะของจักรวาล และระหว่างทางนั้นเอง พวกเขาได้กำหนดวิธีที่เรามีชีวิต ทำงาน และความฝันมาจนถึงทุกวันนี้
ก่อนจะมีนาฬิกาหรือปฏิทิน “ดวงอาทิตย์” คือตัวกำหนดเวลาของทุกคน
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้คนก็ตื่นจากการหลับใหล เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้คนก็พักผ่อน
ดวงดาวคือตัวบอกเวลายามค่ำคืน เคลื่อนไปอย่างเงียบงันบนท้องฟ้า
ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำไนล์เมื่อกว่า 4,000 ปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้คนกลุ่มแรกที่พยายามวัดเวลา
พวกเขาสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือเงาที่ทอดจากเสาหินสูง ซึ่งสามารถแบ่งช่วงเวลาของวันได้ และสิ่งนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของ “นาฬิกาแดด (Sundial)“
1
พวกเขาแบ่งช่วงเวลากลางวันออกเป็น 12 ส่วน อาจเพราะพวกเขานับโดยใช้ข้อต่อของนิ้วมือ (ไม่นับนิ้วโป้ง) ซึ่งมือหนึ่งมี 12 ข้อต่อพอดี และนั่นเองคือเหตุผลที่เลข 12 ปรากฏอยู่บ่อยในชีวิตเรา ทั้ง 12 เดือน 12 ราศี หรือ 12 ชั่วโมง
1
ดังนั้น ชาวอียิปต์ได้มอบทั้ง “12 ชั่วโมงของกลางวัน” และ “12 ชั่วโมงของกลางคืน” รวมกันเป็น 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันเต็ม
แล้วทำไมต้อง 12 ไม่ใช่ 10 หรือ 100?
เราอาจคิดว่าทุกอย่างควรยึดจากเลข 10 เพราะเรามี 10 นิ้ว แต่คนโบราณมองเห็นรูปแบบบนท้องฟ้ามากกว่าที่มือของพวกเขาเอง
เลข 12 มีจังหวะแห่งจักรวาลอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น
-ดวงจันทร์หมุนรอบโลกครบหนึ่งปีได้ประมาณ 12 รอบ
-ดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านกลุ่มดาวสำคัญ 12 กลุ่ม
-ฤดูกาลเพาะปลูกและพิธีกรรมทางศาสนาก็ผูกพันกับเลข 12 เช่นกัน
ดังนั้น “เวลา” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องคณิตศาสตร์ แต่มันคือเรื่องของ “จิตวิญญาณ” และ “ท้องฟ้า”
ต่อมา ชาวบาบิโลนรับแนวคิดนี้ไปพัฒนาต่อ โดยพวกเขาใช้ระบบนับเลขฐาน 60 (sexagesimal) ซึ่งหมายความว่าคณิตศาสตร์ของพวกเขาหมุนรอบเลข 60 ไม่ใช่เลข 10
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังมี “60 วินาทีในหนึ่งนาที” และ “60 นาทีในหนึ่งชั่วโมง” จนถึงทุกวันนี้
1
เรียกได้ว่าตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิทัลของเราในตอนนี้ คือเสียงกระซิบจากนักบวชบาบิโลนผู้เคยเฝ้ามองดวงดาวเดียวกันกับที่เรามองอยู่ในคืนนี้นั่นเอง
นาฬิกาแดดรุ่นแรกๆ สามารถวัดได้เฉพาะชั่วโมงของกลางวันเท่านั้น แต่แล้วกลางคืนล่ะ? จะนับเวลายังไงเมื่อไม่มีแสงอาทิตย์?
ชาวอียิปต์หันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง
พวกเขาสังเกตเห็นกลุ่มดาวที่เรียกว่า “ดีแคน (Decans)“ ซึ่งจะปรากฏและลับขอบฟ้าเป็นช่วงๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งคืน และด้วยการเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดาวเหล่านี้ พวกเขาจึงสามารถบอกเวลาได้แม้ในความมืด
ต่อมาอารยธรรมอื่นๆ เช่น กรีก โรมัน และจีน ต่างก็รับแนวคิดนี้ไปต่อยอดและปรับปรุงให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ชาวโรมันสร้างนาฬิกาแดดขนาดใหญ่ในที่สาธารณะ และวิศวกรของพวกเขายังสร้าง “นาฬิกาน้ำ (Water Clock)” ที่หยดน้ำไหลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อใช้วัดเวลายามค่ำคืนที่ไม่มีแสงอาทิตย์
แม้ว่าการประดิษฐ์เหล่านี้จะดูดั้งเดิม หรือโบราณซักหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน แต่มันก็สะท้อนสิ่งหนึ่งที่ลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์
นั่นคือความปรารถนาที่จะวัดสิ่งที่จับต้องไม่ได้เพื่อเก็บช่วงเวลาที่แสนสั้นไว้ในรูปของตัวเลข สัญลักษณ์ และเรื่องราว
1
หลายศตวรรษผ่านไป ชีวิตของผู้คนเริ่มซับซ้อนขึ้น ตลาดเริ่มเปิด เรือแล่นข้ามทะเล และเมืองต่างๆ เริ่มตื่นและหลับตามตารางเวลา ไม่ใช่แสงอาทิตย์อีกต่อไป
และเมื่อราวศตวรรษที่ 14 นาฬิกากลไกก็ได้เริ่มปรากฏในยุโรป
นี่คือสิ่งประดิษฐ์อันมหัศจรรย์ที่ประกอบด้วยเฟืองขนาดใหญ่และระฆังดังกังวาน มักจะติดตั้งบนหอระฆังของโบสถ์เพื่อเตือนทุกคนว่า “เวลา” เช่นเดียวกับ “ศรัทธา” เป็นสิ่งสากลและทรงพลัง
ในช่วงนั้น การแบ่งเวลาแบบ 24 ชั่วโมงได้หยั่งรากลึกแล้ว
“12 ชั่วโมงกลางวัน” ของชาวโรมัน ผสานกับ “12 ชั่วโมงกลางคืน” ของชาวอียิปต์ กลายเป็นมาตรฐานที่แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมกับอิทธิพลของยุโรป
ตั้งแต่นั้นมา “เวลา” ก็ถูกทำให้เชื่อง ถูกบรรจุอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมของ 24 ส่วนที่เท่ากันอย่างประณีต
เมื่อคิดดูดีๆ “วันหนึ่งที่มี 24 ชั่วโมง” คือทั้ง ”ของขวัญ“ และ ”กรงขัง“ ในเวลาเดียวกัน
1
มันมอบโครงสร้างให้ชีวิตเรา โรงเรียนเริ่มตอนแปดโมงเช้า มื้อเที่ยงตอนเที่ยงตรง เข้านอนตอนสี่ทุ่ม
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กักขังเราไว้ใน “วงจรรูทีน” ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเครื่องจักร
คนโบราณวัดเวลาโดย “จังหวะของธรรมชาติ” ไม่ใช่เสียงปลุกจากนาฬิกา
บรรพบุรุษของเรามองพระอาทิตย์ขึ้นเป็นคำเชิญชวนให้เริ่มต้นวันใหม่ ไม่ใช่กำหนดเส้นตายที่ต้องรีบทำทุกอย่างให้ทัน
บางที สิ่งที่เราสูญเสียไปอาจไม่ใช่ “เวลา” แต่คือ ความสามารถในการ “รู้สึก” ถึงเวลา แทนที่จะมัวแต่นับมันเท่านั้น
โฆษณา