7 พ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ยาแก้ปวดที่กินอยู่ อาจเป็นต้นเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังที่คุณไม่เคยรู้

สวัสดีครับ ผมเภสัชกรเวช ผู้ที่อยากให้ทุกคนใช้ยาอย่างเข้าใจและปลอดภัย วันนี้ผมมีเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามมาเล่าให้ฟังครับ เชื่อไหมครับว่า ยาแก้ปวด ที่เราพึ่งพาเวลาปวดหัว ปวดไมเกรน หรือปวดเมื่อยตามร่างกายเนี่ยแหละครับ อาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณปวดหัวบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้นได้
ฟังดูย้อนแย้งใช่ไหมครับ? แต่นี่คือปรากฏการณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า "โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน" หรือ Medication-Overuse Headache (MOH)
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ MOH ให้มากขึ้น ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะหลุดพ้นจากวงจรการปวดหัวที่เกิดจากยาแก้ปวดนี้ได้อย่างไรบ้างครับ
ปวดหัวซ้ำๆ... วงจรที่ยาแก้ปวดสร้างขึ้น
ในฐานะเภสัชกร ผมเข้าใจดีว่าอาการปวดหัวเป็นเรื่องที่ทรมานแค่ไหน และยาแก้ปวดก็เป็นเหมือนฮีโร่ที่เข้ามาช่วยชีวิตเราไว้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้ยาแก้ปวดเหล่านี้ บ่อยเกินไป หรือ นานเกินไป ฮีโร่ก็อาจกลายเป็นผู้ร้ายได้ครับ
จากข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ในสหราชอาณาจักร มีผู้คนกว่า 10 ล้านคนที่มีอาการปวดหัวเป็นประจำ และแม้ว่าอาการปวดหัวส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
Medication-Overuse Headache (MOH) คืออะไร? MOH คือภาวะที่ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะอยู่ก่อนแล้ว (เช่น ไมเกรน หรือปวดศีรษะจากความเครียด) มีอาการปวดศีรษะที่ถี่ขึ้นและแย่ลง หลังจากใช้ยาแก้ปวดแบบเฉียบพลันเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนหรือนานกว่านั้น
อาการที่บ่งชี้ว่าคุณอาจเข้าสู่วงจร MOH เช่น
• คุณมีอาการปวดศีรษะ 15 วันหรือมากกว่าต่อเดือน
• อาการปวดศีรษะของคุณเปลี่ยนไปจากเดิม หรือแย่ลง
• คุณต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการ
• เมื่อยาหมดฤทธิ์ อาการปวดหัวจะกลับมาอย่างรวดเร็ว (Rebound Headache)
ยาแก้ปวดชนิดไหนบ้างที่ต้องระวัง?
หลายคนอาจคิดว่า ก็แค่ยาแก้ปวดที่ซื้อได้ตามร้านขายยา จะอันตรายได้ยังไง? ใช่ครับ ยาแก้ปวดที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยาในกลุ่ม NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน, นาพรอกเซน) เป็นยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมาก แต่... มันมีข้อแม้ครับ
ผมอยากให้คุณลอง "ยกมือขึ้น" ถ้าคุณต้องกินยาแก้ปวดเหล่านี้ เกิน 15 วันต่อเดือน เป็นประจำ ถ้าคุณยกมือขึ้น นั่นแหละครับ คือสัญญาณเตือนที่สำคัญ เพราะการใช้ยาแก้ปวดทั่วไปบ่อยขนาดนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณเข้าสู่วงจร MOH ได้ครับ
ทีนี้มาดูยาที่ต้องระวังเป็นพิเศษกันบ้าง ยาบางตัวมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เช่น
1. ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของฝิ่น (Opiates): อย่างเช่น โคเดอีน (Codeine) หรือยาผสมโคเดอีน (Co-codamol) ยาเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มแรกมากครับ แค่ใช้เกิน 10 วันต่อเดือน ก็อาจทำให้เกิด MOH ได้แล้ว แถมยังมีความเสี่ยงเรื่องการติดยาและผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมาอีกด้วย
2. ยาเฉพาะทางไมเกรน (Triptans): สำหรับคนที่ปวดไมเกรนรุนแรงและต้องใช้ยาในกลุ่มทริปแทนส์บ่อยๆ ก็ต้องระวังเช่นกันครับ เกณฑ์การใช้ที่ต้องระวังคือไม่เกิน 10 วันต่อเดือน เช่นเดียวกับยาที่มีส่วนผสมของฝิ่น
กลไกมันเป็นยังไงกันแน่? แม้ว่ากลไกที่แน่ชัดของการเกิด MOH จะยังไม่เป็นที่เข้าใจทั้งหมด แต่ผมจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ครับ ลองนึกภาพว่าสมองของเรามี "ปุ่มรับความเจ็บปวด" การใช้ยาแก้ปวดบ่อยๆ เหมือนกับการไปกดปุ่มนี้ซ้ำๆ จนสมองเกิดอาการชินชาและไวเกินในเวลาเดียวกัน
เมื่อสมองคุ้นชินกับการมีสารเคมีจากยาแก้ปวดอยู่ตลอดเวลา พอระดับยาในเลือดลดลง (เหมือนเราไม่ได้กดปุ่มนั้น) สมองก็จะส่งสัญญาณปวดออกมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิม (Rebound) กลายเป็นวงจรที่ต้องพึ่งยาไปเรื่อยๆ ครับ เหมือนกับว่าร่างกายเรากำลังบอกว่า "ช่วยไม่ได้จริงๆ จนปัญญาแล้ว" ถ้าคุณยังไม่หยุดยาตัวนั้น
ตัวอย่างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
1. พาราเซตามอล: แม้จะเป็นยาที่ปลอดภัยเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ แต่การใช้บ่อยเกินไป (15 วัน/เดือนขึ้นไป) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิด MOH ได้ในบางคน
2. ยาที่มีโคเดอีน: ยาในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะนอกจากจะทำให้เกิด MOH แล้ว ยังมีความเสี่ยงเรื่องการติดยาและผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ท้องผูก ง่วงซึม
ทางออก: หยุดวงจรปวดหัวที่เกิดจากยา
การรักษา MOH อาจฟังดูน่ากลัวในตอนแรก เพราะมันคือการ ค่อยๆ หยุดยาแก้ปวด ที่คุณใช้เป็นประจำ
ทำไมต้องหยุดยา? เพราะตราบใดที่คุณยังใช้ยาที่กระตุ้น MOH อยู่ อาการปวดหัวก็จะไม่มีวันหายขาดครับ การหยุดยาคือการ "รีเซ็ต" ระบบความไวต่อความเจ็บปวดของสมอง เหมือนกับการที่เราต้องยอมเจ็บปวดในช่วงสั้นๆ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ
ขั้นตอนการรักษาที่ต้องทำร่วมกับแพทย์:
1. การวินิจฉัย: คุณหมอจะซักประวัติอย่างละเอียด รวมถึงการให้คุณทำ "สมุดบันทึกอาการปวดศีรษะ" (Headache Diary) เพื่อดูความถี่และชนิดของยาที่ใช้ จัดไป บันทึกทุกอย่างเพื่อช่วยคุณหมอวินิจฉัยให้แม่นยำที่สุดครับ
2. การถอนยา (Withdrawal): นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและท้าทายที่สุด คุณหมอจะแนะนำให้คุณค่อยๆ ลดขนาดยาและหยุดยาในที่สุด ซึ่งในช่วงแรก อาการปวดหัวอาจจะแย่ลงชั่วคราว (Withdrawal Headache) แต่การทำภายใต้การดูแลของแพทย์จะช่วยให้คุณผ่านช่วงนี้ไปได้ อย่าท้อนะครับ
3. การรักษาเชิงป้องกัน: เมื่อหยุดยาที่ก่อปัญหาได้แล้ว คุณหมออาจพิจารณาให้ยาป้องกัน (Preventive Medication) สำหรับโรคปวดศีรษะเดิมของคุณ (เช่น ไมเกรน) เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของการปวดหัวในระยะยาว
คำแนะนำจากเภสัชกร
• ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที: หากคุณต้องใช้ยาแก้ปวด (แม้แต่ยาที่ซื้อเอง) เกิน 15 วันต่อเดือน เป็นเวลานาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเสี่ยง MOH
• อย่าหยุดยาเอง: โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของฝิ่น (Opiates) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาจมีอาการถอนยาที่รุนแรงได้
• บันทึกอาการ: การจดบันทึกว่าปวดหัวเมื่อไหร่ ใช้ยาอะไรไปบ้าง จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นมากครับ
ใช้ยาอย่างฉลาด ไม่ใช่ใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ
เรื่องราวของ MOH สอนให้เราตระหนักว่า "ยา" คือดาบสองคมที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังสูงสุดครับ ยาแก้ปวดมีประโยชน์มหาศาลในการบรรเทาความทุกข์ทรมาน แต่การใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อหรือใช้เกินความจำเป็น ก็อาจสร้างปัญหาใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิมได้
จำไว้เสมอว่า "ใช้ยาเมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น" หากคุณพบว่าตัวเองต้องพึ่งยาแก้ปวดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่คุณต้องหันมาทบทวนการใช้ยาของตัวเองแล้วครับ
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการเข้าใจร่างกายและยาที่เราใช้ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพดีและใช้ยาอย่างปลอดภัยนะครับ
แหล่งอ้างอิง (References)
[1] Baumgardt, D. (2025, November 6). Could pain medication be causing your headaches? The Conversation.
[2] International Headache Society (IHS). (2018). 8.2 Medication-overuse headache (MOH). The International Classification of Headache Disorders, 3rd edition (ICHD-3).
[3] Gosalia, H. et al. (2024). Medication-overuse headache: a narrative review. The Journal of Headache and Pain, 25(1), 1-13.
[4] American Migraine Foundation (AMF). Medication Overuse Headache.
[5] ธนกร ศิริสมุทร. (2560). พิษวิทยาของยาพาราเซตามอล.
โฆษณา