8 พ.ย. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เอกชน กังวลกฎหมาย 3 ฉบับ แรงงาน อากาศ โรงงาน

เอกชน กังวลกฎหมาย 3 ฉบับ แรงงาน อากาศ โรงงาน หวั่นส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 คงเป้าจีดีพี แนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2%
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะ
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติโรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย
ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่
นอกจากนี้ ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่
ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด
ขณะที่ภาพรวม เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก
ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด
ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน
คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2%
คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2%
ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM)
สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางในการยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูงและให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อมและสามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา