Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
9 พ.ย. เวลา 12:03 • ประวัติศาสตร์
สถานการณ์ที่ทำให้สวีเดนอดเป็นมหาอำนาจโลก
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 สวีเดนดูเหมือนจะพร้อมที่จะสถาปนาสถานะของตนให้เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของยุโรป
จักรวรรดิสวีเดนในขณะนั้นได้ประสบชัยชนะใน “สงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War)” และ “สงครามเหนือ (Northern War)” และทำสนธิสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่งทุกประเทศ รวมถึงเดนมาร์กและนอร์เวย์ด้วย ส่งผลให้สวีเดนได้เข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของทะเลบอลติก รวมถึงท่าเรือและเกาะสำคัญจำนวนมาก
สวีเดนได้เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย มีกำลังคนไม่น้อย มีอำนาจเหนือตลาดการค้าในยุโรปเหนือ และอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้เพื่อจารึกชื่อในประวัติศาสตร์
1
สวีเดนสามารถผสมผสานกลยุทธ์ทางทหารที่แปลกใหม่ในกองทัพบกเข้ากับกองทัพเรือที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อครองทะเลบอลติก พร้อมด้วยการดำเนินนโยบายทางการเมืองที่กล้าได้กล้าเสีย ทำให้ประเทศอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม การคงสถานะมหาอำนาจในยุโรปไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อใดที่ใครขึ้นสู่จุดสูงสุด คนอื่นก็จะพยายามดึงลงมา ซึ่งในช่วงปีหลังสงครามเหนือ รัสเซีย ปรัสเซีย และอังกฤษ ต่างก็เริ่มมองสวีเดนด้วยความหวาดระแวง
1
รัสเซียกังวลเรื่องความทะเยอทะยานในการขยายดินแดนของสวีเดนในยุโรปเหนือ ส่วนปรัสเซียกลัวว่าสวีเดนจะขยายอำนาจลงไปทางตอนใต้สู่ดินแดนเยอรมัน และอังกฤษก็วิตกเรื่องที่สวีเดนเริ่มควบคุมการค้าในยุโรปและมีความทะเยอทะยานที่จะขยายอำนาจเข้าไปยังอาณานิคมในอเมริกาเหนือ รวมถึงแผนตั้งอาณานิคมในเดลาแวร์และแคริบเบียน
แต่สวีเดนก็มีผู้ปกครองที่เข้มแข็งต่อเนื่องกันมาเกือบหนึ่งศตวรรษ แต่อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองนั้นได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการสวรรคตของ “พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 11 แห่งสวีเดน (Charles XI of Sweden)” และการขึ้นครองราชย์ของ “พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 แห่งสวีเดน (Charles XII)“
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 แห่งสวีเดน (Charles XII)
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 นั้นยังทรงพระเยาว์เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ทำให้พระองค์ต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระยะแรก และบรรดาศัตรูของสวีเดนก็เริ่มวางแผนโจมตีทันที
เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสามปีก็ต้องเผชิญกับพันธมิตรศัตรูซึ่งประกอบด้วย เดนมาร์ก–นอร์เวย์ โปแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งร่วมกันประกาศสงครามต่อสวีเดนในปีค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) โดยมีเป้าหมายคือจำกัดอำนาจของสวีเดนและยึดดินแดนที่เสียไปในศตวรรษก่อนกลับคืนมา
การประกาศสงครามครั้งนี้ได้เปิดฉาก “มหาสงครามเหนือ (Great Northern War)“ ซึ่งกลายเป็นความขัดแย้งครั้งสำคัญที่ทำให้สวีเดนไม่อาจรักษาสถานะมหาอำนาจของตนไว้ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พันธมิตรเหล่านั้นจะบรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 กษัตริย์หนุ่มผู้ซึ่งพวกเขามองว่า “แค่เด็ก” อันที่จริง ทรงมีความสามารถเหนือกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก
ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม พันธมิตรที่ประกอบด้วย รัสเซีย เดนมาร์ก–นอร์เวย์ และ แซกโซนี–โปแลนด์ ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าโจมตีสวีเดน โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายอำนาจของสวีเดนในยุโรปเหนือ
1
แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงเป็นแม่ทัพผู้มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม พระองค์สามารถบังคับให้เดนมาร์กถอนตัวออกจากสงครามได้อย่างรวดเร็ว และจากนั้น ก็บดขยี้กองทัพรัสเซียที่มีขนาดใหญ่กว่ามากในการรบที่เมืองนาร์วาในปีค.ศ.1700 (พ.ศ.2243)
ชัยชนะทั้งสองครั้งนี้ได้ทำลายความหวังของพันธมิตรที่จะชนะอย่างรวดเร็ว และแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์หนุ่มแห่งสวีเดนองค์นี้เตรียมพร้อมสำหรับสงครามอย่างเต็มที่
ในช่วงหลายปีต่อมา พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ยังคงประสบความสำเร็จในการรบในโปแลนด์และแซกโซนี พระองค์สามารถขับไล่ “พระเจ้าออกัสตัสที่ 2 แห่งโปแลนด์ (Augustus II the Strong)” ออกจากบัลลังก์โปแลนด์ ทำให้สวีเดนดูเหมือนเป็นขุมอำนาจที่ไม่มีใครต้านได้
พระเจ้าออกัสตัสที่ 2 แห่งโปแลนด์ (Augustus II the Strong)
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ได้ตัดสินพระทัยผิดพลาดครั้งใหญ่ และเป็นความผิดพลาดที่แม่ทัพหลายคนในประวัติศาสตร์จะทำซ้ำในภายหลัง
1
พระองค์ตัดสินพระทัยบุก “รัสเซีย”
ในปีค.ศ.1708 (พ.ศ.2251) พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ได้ยกทัพประมาณ 40,000 นายเข้าสู่รัสเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายกองทัพรัสเซียและยึดดินแดนเพิ่มเติม แต่ “พระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great)” พระประมุขแห่งรัสเซีย ทรงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง แต่ทรงใช้ยุทธวิธีเผาทำลายทุกสิ่ง เผาไร่นาและหมู่บ้านทุกแห่งระหว่างทางถอยทัพ เพื่อให้กองทัพสวีเดนต้องเดินทัพผ่านดินแดนที่หนาวเย็นและปราศจากทรัพยากรใดๆ
เมื่อกองทัพสวีเดนไปถึงเมืองโปลตาวาในปีค.ศ.1709 (พ.ศ.2252) โรคภัย ความอดอยาก และการขาดแคลนเสบียงก็ได้ทำลายกำลังพลไปอย่างมาก
พระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great)
ทางฝ่ายกองทัพรัสเซียที่ฟื้นตัวเต็มที่ ได้ล่อให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ถอยห่างจากฐานเสบียง และสุดท้ายก็เอาชนะกองทัพสวีเดนที่อ่อนล้าได้อย่างเด็ดขาด ทำให้สวีเดนต้องล่าถอยเข้าสู่ดินแดนออตโตมัน
ในการรบครั้งนั้น สวีเดนมีกำลังน้อยกว่ารัสเซียเกือบสามเท่า โดยรัสเซียส่งทหาร 45,000 นายพร้อมกำลังสำรองอีก 30,000 นาย และมีปืนใหญ่กว่า 100 กระบอก ขณะที่สวีเดนมีกำลังพลเพียง 16,000 นาย ปืนใหญ่ 30 กระบอกเท่านั้น
การรบครั้งนี้ทำให้สวีเดนสูญเสียทหารกว่า 10,000 นาย และต้องล่าถอย
และสวีเดนก็ไม่เคยฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้อีกเลย
สงครามยังคงดำเนินต่อไปอีกกว่าทศวรรษ โดยที่สวีเดนต้องหันมาตั้งรับจากดินแดนต่างๆ ทั่วภูมิภาคบอลติก
หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ใน “สมรภูมิโปลตาวา (Battle of Poltava)” รัสเซียภายใต้การนำของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ก็เริ่มรุกกลับอย่างเต็มกำลัง โดยพระองค์ได้ขยายกองทัพและกองเรือที่ทันสมัย ยึดครองพื้นที่ตามแนวชายฝั่งบอลติก และก่อตั้ง ”เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg)“เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของรัสเซีย ประกาศให้โลกเห็นว่ารัสเซียตั้งใจจะเป็น “เจ้าแห่งทะเลบอลติก” อย่างแท้จริง
เมื่อสวีเดนอ่อนแรง มหาอำนาจอื่นๆ ก็เริ่มเข้ามาแทรกแซง ได้แก่ ปรัสเซีย ฮันโนเวอร์ และในที่สุด อังกฤษ ซึ่งต่างก็ต้องการส่วนแบ่งจากดินแดนของสวีเดน
แม้ว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 จะกลับมารวบรวมกองทัพและทำศึกอีกครั้งหลังจากความล้มเหลวในรัสเซีย แต่ในปีค.ศ.1718 (พ.ศ.2261) พระองค์ก็ทรงถูกปลงพระชนม์ในระหว่างการบุกโจมตีนอร์เวย์ และการสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 ก็ถือเป็นจุดจบของความพยายามสุดท้ายของสวีเดนในการรักษาความยิ่งใหญ่เอาไว้
สงครามได้สิ้นสุดลงด้วย “สนธิสัญญาไนชตัด (Treaty of Nystad)” ในปีค.ศ. 1721 (พ.ศ.2264) ซึ่งเป็นการปิดฉากสงครามเหนือครั้งใหญ่ โดยสวีเดนต้องยอมสละดินแดนสำคัญหลายแห่งให้กับรัสเซีย ได้แก่ เอสโตเนีย ลิโวเนีย อิงเกรีย และบางส่วนของคาเรเลีย รวมถึงสูญเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ปรัสเซียและฮันโนเวอร์ และรัสเซียยังได้ครองเมืองยุทธศาสตร์อย่าง “วีย์บอร์ก (Vyborg)” ซึ่งยังคงเป็นของรัสเซียมาจนถึงทุกวันนี้
1
สงครามครั้งนี้ได้เปลี่ยนดุลอำนาจในยุโรปเหนือโดยสิ้นเชิง
สวีเดนตกจากการเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นเพียงรัฐระดับรอง ในขณะที่รัสเซียได้ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่แห่งภูมิภาคบอลติก และวางรากฐานให้จักรวรรดิรัสเซียมีบทบาทสำคัญในกิจการยุโรปตลอดสองศตวรรษต่อมา
สวีเดนไม่เคยฟื้นจากการเสื่อมถอยครั้งนี้ได้อีก ส่วนรัสเซียก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุโรปจนถึงปัจจุบัน
การเมือง ดุลอำนาจ และเขตแดนในยุโรปเหนือในทุกวันนี้ ล้วนมีรากฐานสืบเนื่องจากสงครามเหนือครั้งใหญ่นี้ทั้งสิ้น
1
แม้ทั้งสองฝ่ายจะคาดหวังให้สงครามจบลงอย่างรวดเร็ว แต่สงครามนี้ก็ยืดเยื้อถึง 21 ปี คือตั้งค.ศ.1700–1721 (พ.ศ.2243-2264) คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ กว่าสองแสนคนเป็นชาวสวีเดนที่เสียชีวิตจากการสู้รบและโรคระบาด ทำให้กำลังของประเทศอ่อนแรงอย่างมาก
หลังจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 12 สวรรคต พระองค์ได้มอบบัลลังก์ให้กับพระขนิษฐาของพระองค์ แต่พระนางก็ได้สละราชบัลลังก์ต่อให้พระสวามี นั่นคือ “พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 (Frederick I of Sweden)” ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไม่สามารถกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของสวีเดนกลับมาได้อีก
พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 (Frederick I of Sweden)
และนั่น ก็คือจุดสิ้นสุดของความยิ่งใหญ่ของสวีเดนอย่างแท้จริง
References:
https://grantpiperwriting.medium.com/the-war-that-crushed-swedens-quest-to-become-a-great-power-20719bcdd2d7?source=list---------3-------predefined%3Af06bcd4c0010%3AREADING_LIST----------------------------
https://www.britannica.com/biography/Charles-XII
https://forum.paradoxplaza.com/forum/threads/charles-xii-of-sweden-and-momentous-decisions.1068868/
https://www.google.com/?&bih=739&biw=428&prmd=inv&hl=th&zx=1762661465988&no_sw_cr=1
ประวัติศาสตร์
43 บันทึก
41
17
43
41
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย