10 พ.ย. เวลา 10:35 • ความคิดเห็น

เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์จะปรากฏ

ผมตั้งวงคุยกับน้องๆรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตจากธุรกิจที่ตัวเองทำ แต่ละคนก็มีปัญหาเรื่องคนต่างกันไป บางคนก็ดูแลลูกน้องดีแต่ลูกน้องไม่เห็นค่า บางคนก็โดนดึงลูกน้องเก่งๆไปให้เงินเดือนเยอะกว่า บางคนก็โดนลูกน้องเอาสูตรเอาคอนเนกชั่นไปตั้งทีมทำมาแข่งสารพัด
ก็เป็นปัญหาคลาสสิคของบริษัทที่กำลังโต
ในวงสนทนานั้น มีพี่ไกร แห่งสยามราชธานี เป็นผู้อาวุโสรุ่นใหญ่อยู่หนึ่งคน พี่ไกรก็นั่งฟังเงียบๆ จนผมเริ่มแนะนำให้น้องๆรู้จักพี่ไกร พี่ไกรมีธุรกิจที่ต้องดูแลคนจำนวนมากมาหลายสิบปี จนตอนนี้บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
ดูแลคนจำนวนมากแค่ไหน ตอนนี้ดูแลคนรถ outsource ก็สี่พันคน คนสวนระดับพันคน ไม่รวมถึงธุรกิจดาต้าอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากจริงๆ
เดิมพี่ไกรมาเพราะอยากฟังวิธีคิดน้องๆรุ่นใหม่ เลยนั่งฟังเงียบๆ พอผมนึกได้ว่าเรื่องคนนี่ควรจะถามพี่ไกร น้องๆ ก็เลยรุมซัก พี่ไกรก็ค่อยๆ สอนหลักการที่พี่ไกรได้มาจากประสบการณ์ทีละส่วน ก็เลยอยากเอาหลักการพี่ไกรที่น้องๆตื่นเต้นเพราะเป็นวิธีคิดที่ได้เอาไปทบทวนการบริหารจัดการคนของตัวเองได้เป็นอย่างดีมาสรุปให้ฟังกันนะครับ
1. พี่ไกรบอกว่า การปกครองคนนั้นต้องมีสี่ประการ ประการแรก คำสั่งต้องชัดแจ้ง ไม่ใช่แค่ชัดเจน ชัดแจ้งคือรู้ว่าทำไปทำไม ทำอย่างไร ทำอะไรทุกขั้นตอน ประการที่สอง ปกครองต้องมีเมตตา ต้องรักผู้คนที่เราดูแล เป็นห่วงเป็นใยส่วนตัวจริงๆ
2
ประการที่สาม กฎระเบียบต้องเข้มงวด ปกครองคนหมู่มาก กฎต้องเป็นกฎเสมอ ไม่สามารถหย่อนยานได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะปกครองคนหมู่มากไม่ได้ ผมถามว่าถ้ากรณีขาดงานผิดระเบียบเพราะแม่ป่วยต้องทำอย่างไร พี่ไกรก็บอกว่าต้องลงโทษตามกฏแต่เราไปช่วยเรื่องแม่ รักษาพยาบาลส่วนตัวได้ด้วยความเมตตา
1
ประการที่สี่ ให้รางวัลหรือลงโทษต้องเด็ดขาด เด็ดขาดระดับที่ลูกน้องทำผิด เราลงโทษ ลูกน้องจะไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงถูกลงโทษ
2
ทำครบสี่ประการได้ถึงจะมีบารมี ดูแลคนหมู่มากได้
2. คนเก่งนั้น เก่งไม่เหมือนกัน ความเก่งมีเก่งคน เก่งคิด และเก่งงาน การที่จะให้ใครเป็นหัวหน้าคนต้องเอาคนที่เก่งคนมาเป็น ไม่ใช่คนที่เก่งงานเพราะเก่งงานไม่เก่งคนก็จะบริหารคนไม่ได้
การที่เก่งคนนั้นก็ยังแยกย่อยเป็นสามแบบ เก่งหา เก่งคัดคนก็เก่งแบบหนึ่ง เก่งใช้คนเก่งพัฒนา ก็เป็นอีกแบบ เก่งปกครองเก่งรักษา ก็เก่งไปอีกทาง คนที่เก่งคนนั้นต้องมีครบสามแบบ ไม่เช่นนั้นหามาก็พัฒนาไม่ได้ หามาสร้างได้ก็ลาออก แต่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ต้องให้โอกาสคนที่มี potential แล้วสอนเอา
1
3. คนที่เก่งจริงนั้น เขาจะเข้าใจว่าที่เก่งได้ต้องสำเร็จผ่านทีม สำเร็จเพราะทีม เขาจะเข้าใจแม้กระทั่งว่ายอมรับลูกน้องเก่งๆที่เงินเดือนมากกว่า คนแบบนั้นถึงเป็นหัวหน้าคนได้
4. ขนาดของบริษัทนั้นทำให้ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารไม่เหมือนกัน เหมือนคุมกำลังพล ถ้าหลักสิบก็พูดคุยได้ หลักร้อยต้องใช้นกหวีด หลักพันใช้กลอง หลักหมื่นใช้ธง หลักแสนต้องใช้ควัน เราต้องเข้าใจเครื่องมือสื่อสารแต่ละแบบกับขนาดกำลังคนที่ต่างกัน
5. เวลาจะทำโครงการใหม่ อย่าให้ทำงานกลุ่ม ต้องหาคนที่ focus คนเดียว เพราะโครงการใหม่ถ้ามาร่วมด้วยช่วยกันก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ เวลาทำไม่ดี ดุไปก็กระจายกันหกคน ไม่มีผลอะไร โครงการใหม่จะสำเร็จได้ต้องมองตาคู่เดียวเท่านั้น
6. การที่พลังจะเกิด ต้องมีสองขั้วคู่กันเสมอ มีแข็งต้องมีอ่อน มีบุกต้องมีถอย มีหนึ่งก็ต้องมีศูนย์ มีดำก็ต้องมีขาว ต้องสลับกันถึงมีพลัง ถ้ามีด้านใดด้านเดียวพลังก็จะไม่บังเกิด
จะว่าเป็นโชคก็ได้ที่ได้วิธีคิดจากผู้ปฏิบัติจริงระดับอาจารย์มาอย่างยาวนาน แต่ถ้าน้องๆ ไม่ถาม ไม่สงสัย ไม่ให้เกียรติพี่ไกรด้วยการตั้งใจฟังกันแบบสุดๆ หลายคนจดได้จด ก็จะไม่เกิดบทสนทนาดีๆแบบนี้แน่ๆ ซึ่งก็ตรงกับที่หลายคนเคยบอกว่า เมื่อไหร่ที่เราอยากรู้ ความรู้ถึงจะมา
เมื่อไหร่ที่ศิษย์พร้อม อาจารย์ก็จะปรากฏ
เมื่อไหร่ที่ทำตัวว่ารู้ทุกอย่าง เก่งไปหมด พูดอยู่คนเดียว ก็จะไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนโผล่ขึ้นมาสอนเรา ต่อให้คนเก่งสุดๆนั่งอยู่ตรงหน้าเราก็ตาม…
จะมีอาจารย์ดีๆ มี mentor ที่คอยสอนเราหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่เรามากกว่านะครับ
โฆษณา