10 พ.ย. เวลา 15:41 • ไลฟ์สไตล์
ถ้ายุคที่ว่า หมายถึงสภาพประเทศไทยในเวลานี้ ก็ขอตอบว่า จริงค่ะ
.
เพียงแต่ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้รอดต่อไป ด้วยการมองโลกตามความเป็นจริง และรับมือกับสิ่งที่เป็นอย่างมีสติ
.
การมีความหวัง ( หรือจะเรียกว่าคิดบวกก็แล้วแต่ ) ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ใจมีพลัง มีแรงฝ่าฟัน กับสารพันปัญหาในประเทศนี้มากกว่าการหมดหวัง หรือคิดลบ
.
การไม่ยอมหมดหวัง จะเป็นแรงผลักดันให้เราไม่ท้อถอย ให้เราสู้ เมื่อเราสู้ไม่ถอย แม้ไม่ได้ทุกอย่างดังใจ แต่ก็น่าจะได้อะไรมากกว่าการยอมจำนนนะคะ
.
สุดท้ายขอจบด้วยบทความน่าสนใจ เอามาฝากค่ะ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568
.
เพจนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ แจ้งข่าวว่านายแพทย์ประเสริฐจะยุติการเขียนบทความ หลังจากเขียนต่อเนื่องลงเพจนี้เป็นเวลา 10 ปี
.
ข่าวดังกล่าวไม่เพียงถูกแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง กระทั่งสื่อกระแสหลักยังต้องรายงานเรื่องนี้
.
เหตุใดการหยุดเขียนหนังสือของคุณหมอนักเขียนคนหนึ่งจึงได้รับความสนใจจากสังคม
.
เหตุใดผู้คนส่วนมากจึงรับฟังคุณหมอท่านนี้
.
หรือกระทั่งเหตุใดคุณตาหมอประเสริฐจึงเป็นที่รักของผู้คน
.
คำถามเหล่านี้ แต่ละคนย่อมมีคำตอบเฉพาะตัว
.
แต่สำหรับ WAY
.
เมื่อกลับไปอ่านร่างปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ ของนายแพทย์ประเสริฐ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
.
มีบางข้อความเป็นเหตุผลที่เราจำเป็นต้องรักคุณตาหมอท่านนี้ โดยไม่สามารถรู้สึกเป็นอื่น ยกตัวอย่างเช่น
.
1.ผมเป็นเด็กเรียนเก่ง มารยาทดี ตอบปัญหาภาษาไทยชนะเลิศ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเป็นที่รักของครูบาอาจารย์จึงเป็นฝ่ายขวา เด็กดีย่อมเป็นฝ่ายขวา
.
2.เพียง 3 ปีของชีวิตแพทย์ในต่างจังหวัดก็รู้แล้วว่า ทำดีในสังคมไทยมิได้แปลว่าต้องได้ดี ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จมิได้อยู่ที่นั่น และธรรมะจะไม่ชนะอธรรม
.
ราชการกล่อมประสาทให้ชาวบ้านพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ พอใจในผักสวนครัวรั้วกินได้
.
3.เราติดกับดักการบริจาคกันมาก ถัดมาก็ติดกับดักเรื่องสอนให้ชาวบ้านจับปลา ต่อมาก็ติดกับดักเรื่องความพอเพียง สุดท้ายเราวิ่งเพื่อบริจาคเงินให้โรงพยาบาลซึ่งมีเงินอยู่แล้ว
.
4.เราจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและบริหารบ้านเมืองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจำเป็นต้องสลายรัฐราชการและรัฐรวมศูนย์ที่เป็นอยู่
.
ไม่ควรมีการรัฐประหารอีกแล้ว และเราควรมีกลไกที่ใช้ลงโทษผู้ที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตย
.
5.ทักษะศตวรรษที่ 21 มิได้อยู่ลอยๆ มันพัฒนามาจาก EF (Executive Function) ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนประกอบที่เรียกว่าคิดยืดหยุ่น (cognitive flexibility)
.
ในทำนองเดียวกัน EF ก็มิได้อยู่ลอยๆ แต่พัฒนามาจากครอบครัวที่เลี้ยงเด็กมาในแนวทางพัฒนา EF
.
มีความเชื่อมโยงจากครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบดั้งเดิมสู่ความรุนแรงทางการเมืองวันนี้ อยู่ที่เราจะเห็นความเชื่อมโยงนี้มากน้อยเพียงไร
.
6.เราต้องการครอบครัวสมัยใหม่จำนวนมากกว่านี้ ครอบครัวที่รู้ว่าการเรียนเก่งอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อลูกหลาน
.
การเรียนเก่งมิใช่เรื่องไม่ดีในตัวเอง แต่การรู้รอบด้าน มีจิตใจประชาธิปไตย และคิดนอกกรอบได้คือ EF จะสำคัญต่อพัฒนาการทักษะศตวรรษที่ 21 มากกว่า
.
7.เมื่อเยาวชนถามรัฐใดๆ รัฐควรตอบ และเมื่อเยาวชนไม่พอใจคำตอบ รัฐควรเปิดทางเจรจา
.
มีแต่การเจรจาต่อรองในระบอบประชาธิปไตยที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยพัฒนาและประเทศชาติเดินหน้า
.
การเจรจาที่เปิดกว้างย่อมต้องมีทางออกแน่ๆ เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าอาจไม่ถูกใจคนทุกคน แต่การถูกใจคนส่วนใหญ่ในแต่ละช่วงเวลาเป็นเรื่องทำได้
.
แต่ละช่วงเวลานั้นเราเรียกว่า ‘การเลือกตั้ง’
.
8.การจะสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมาช่วยเหลือพ่อแม่ให้สามารถเลี้ยงลูกได้ และกว่าที่เราจะปฏิรูปการศึกษาไทยให้ไปในทางที่ถูกที่ควรได้ เราจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย และการกระจายอำนาจที่ดี
.
9.พัฒนาการสำคัญของวัยรุ่นคือการค้นหา อัตลักษณ์ (identity) วิธีการค้นหาใช้พ่อแม่เป็นตัวตั้ง แล้วใช้ผู้คนในสังคมเป็นตัวเติม เพื่อผลิตบุคคลใหม่ที่ไม่เหมือนใครออกมา (unique)
.
วัยรุ่นจะเป็นบุคคลใหม่ที่ไม่เหมือนใคร เป็นหนึ่งไม่มีสอง และเป็นบุคคลอิสระได้ เมื่อไม่ฟังพ่อแม่และไปไกลๆ จากพ่อแม่ นี่เป็นพัฒนาการ
.
นี่คือบางส่วนที่สกัดสังเคราะห์จากปาฐกถาในวันนั้น
.
อ่านตัวเต็มได้ที่ https://waymagazine.org/20-quotes-by-prasert-p-karnpim/
.
#นายแพทย์ประเสริฐผลิตผลการพิมพ์ #EF #ทักษะศตวรรษที่21
FB : WAY
โฆษณา