8 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปิดโปงปฏิบัติการ Shotgiant จุดเริ่มต้นสงครามไซเบอร์ เมื่อยักษ์ใหญ่จีนโดน NSA ล้วงตับ

ลองนึกภาพตามนะครับ… ปี 2010 ในประเทศอิหร่าน คอมพิวเตอร์ของนักการเมืองคนสำคัญคนหนึ่งกำลังถูกใช้งานตามปกติ ทั้งเช็กอีเมล จัดตารางงาน เรื่องทั่วไปในออฟฟิศ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัวเลย คอมพิวเตอร์ของเขากำลังถูกแฮ็กอย่างสมบูรณ์แบบ ข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดกำลังจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
เรื่องมันเป็นอย่างนี้… ข้อมูลอินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ กำลังวิ่งผ่านเราเตอร์ตัวใหม่เอี่ยมที่ออฟฟิศเพิ่งได้รับมา ฝ่ายไอทีเพิ่งติดตั้งมันไปเมื่อวานนี้
เราเตอร์เหล่านี้ผลิตโดย Huawei
การเลือกใช้ Huawei ถือว่าสำคัญมาก เพราะ Huawei เป็นบริษัทจีน สำหรับรัฐบาลอิหร่านซึ่งไม่ได้เป็นมิตรกับชาติตะวันตก การใช้ของจีนย่อมดูปลอดภัยกว่า
ตรรกะก็คือ หน่วยงานอย่าง CIA ไม่สามารถไปบังคับให้ Huawei เปิดเผยข้อมูลลูกค้าได้ แถมเราเตอร์พวกนี้ก็ส่งตรงมาจากโรงงาน ในความรู้สึกของคนอิหร่าน นี่คือการป้องกันการแก้ไขดัดแปลงที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้ว
แต่นั่นไม่เป็นความจริง
ในโปรแกรมที่เพิ่งติดตั้งไป ลึกเข้าไปในโค้ดของมัน มี “บั๊ก” หรือช่องโหว่เล็กๆ ซ่อนอยู่ มันเป็นความผิดพลาดที่ง่ายมากที่จะมองข้าม ถ้าคุณไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังมองหาอะไร
ปกติแล้ว ถ้าจะเชื่อมต่อเราเตอร์เหล่านี้ ต้องรู้รหัสผ่าน แต่เพราะความผิดพลาดนี้ในโค้ด มันเลยมี “ทางลัด” ให้ข้ามรหัสผ่านไปได้
สิ่งที่คุณต้องรู้มีแค่คำสั่งง่ายๆ คำสั่งเดียว หรือที่เรียกว่า “Master Password” ซอฟต์แวร์ของเราเตอร์ถูกฝังคำสั่งนี้ไว้ตายตัว ใครก็ตามที่รู้คำสั่งนี้ ก็สามารถข้ามการยืนยันตัวตนปกติ และรับสิทธิ์เป็น “ผู้ดูแลระบบ” หรือ Administrator ได้ทันที
และนั่นคือสิ่งที่ใครบางคนเพิ่งทำไป
ต่อหน้านักการเมืองคนนั้นเลย แฮ็กเกอร์นิรนามคนหนึ่งได้กระตุ้นช่องโหว่นั้น และให้สิทธิ์ตัวเองเข้าถึงเราเตอร์ได้สำเร็จ
แฮ็กเกอร์ยกระดับสิทธิ์ของตัวเองเป็นผู้ดูแลระบบ และเริ่มติดตั้งซอฟต์แวร์สอดแนมที่ซับซ้อนลงบนเราเตอร์
นับจากวินาทีนั้น ข้อมูลทุกอย่างที่วิ่งผ่านอุปกรณ์ตัวนี้จะถูกดักจับทั้งหมด ทุกอีเมลที่ส่ง ทุกเว็บไซต์ที่เข้า ทั้งหมดจะถูกบันทึกและรายงานอย่างละเอียดไปยังเซิร์เวอร์สั่งการ
เราเตอร์ตัวใหม่เอี่ยม ได้กลายเป็นเครื่องมือสอดแนมที่สมบูรณ์แบบ
และนักการเมืองอิหร่านคนนี้ ก็ไม่ใช่เหยื่อเพียงคนเดียว ยังมีคนอีกหลายพันคนทั่วโลก ทุกคนที่ใช้อุปกรณ์ Huawei ประเภทนี้ ก็เสี่ยงต่อบั๊กเดียวกัน ช่องโหว่เดียวกัน และหลายคนก็โดนแบบเดียวกันเป๊ะ
คุณอาจคิดว่าเรื่องนี้ Huawei ต้องรับผิดชอบเต็มๆ ก็บริษัทเป็นคนส่งของมา พวกเขาต้องรู้สิว่าเกิดอะไรขึ้น และนั่นก็อาจจะจริง เราคงเคยได้ยินข่าวที่รัฐบาลหลายแห่งรายงานว่าถูกจีนสอดแนมผ่านอุปกรณ์ของ Huawei
แต่ในกรณีนี้ มีคนอื่นเข้ามาเอี่ยวด้วย
เรื่องของเรื่องคือ Huawei เอง ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนในตอนนั้น ก็ถูกแฮ็กเหมือนกัน
บริษัทถูกเจาะโดยผู้โจมตีที่มีเป้าหมายชัดเจนในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์แบบนี้ และเครื่องอื่นๆ อีกหลายพันเครื่อง
เหตุการณ์นี้ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Operation Shotgiant และมันคือหนึ่งในความพยายามจารกรรมข้อมูลที่ทะเยอทะยานที่สุดของ National Security Agency หรือ NSA แห่งสหรัฐอเมริกา
หนึ่งในปฏิบัติการแฮ็กที่ซับซ้อนที่สุดในยุคของเรา และเป็นปฏิบัติการที่เปลี่ยนโลกไปสู่จุดที่ไม่มีวันหวนกลับ
ถ้าเราย้อนกลับไปดูจีนในยุค 1970 แล้วมาเทียบกับจีนในยุค 2010 เราจะเห็นภาพที่ต่างกันลิบลับ
แค่ไม่กี่ทศวรรษ จากประเทศที่แทบไม่มีอะไร จีนได้กลายมาเป็นมหาอำนาจ
ผู้คนเรียกสิ่งนี้ว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีน”
จนถึงทุกวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังเถียงกันว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ แต่ภาพกว้างๆ ที่ส่วนใหญ่ยอมรับก็คือ มันเกิดจากการปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุค 1970 ที่อัดฉีด “ตลาดเสรี” เข้าไปใน “เศรษฐกิจแบบวางแผน” ทำให้รัฐบาลจีนได้ประโยชน์จากระบบทุนนิยมที่ถูกควบคุมอย่างระมัดระวัง
เราทุกคนต่างผลลัพธ์ของปาฏิหาริย์นี้… ก็คือป้าย “Made in China” นั่นเอง
อะไรๆ ก็ผลิตในจีน เพราะจีนกลายเป็น “สายการผลิตของโลก” ด้วยทรัพยากรที่มีล้นเหลือ นั่นคือ “แรงงานราคาถูก”
แต่การปั๊มของราคาถูกออกมา ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของจีน มันเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น
ตั้งแต่แรกเริ่ม จีนพยายามจะแตกยอดไปสู่วิวัฒนาการขั้นต่อไปของอุตสาหกรรม… นั่นคือ “การผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง”
และ Huawei คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของเรื่องนี้
บริษัทก่อตั้งในต้นยุค 1980 โดยเริ่มจากการเป็นแค่คนกลางขาย “ตู้สาขาโทรศัพท์” หรือเครื่องสลับสายโทรศัพท์ในออฟฟิศสมัยก่อน
บริษัทไปได้ดี ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลบ้าง และเริ่มผลิตสินค้าของตัวเอง
ว่ากันว่า ในปี 1997 ผู้ก่อตั้งบริษัทได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เขาไปที่ Bell Labs และถึงกับทึ่งในประสิทธิภาพและความเป็นระเบียบของบริษัทระดับโลกแห่งนี้
เขาเลยตัดสินใจลอกเลียนแบบโครงสร้างและสไตล์การบริหารของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีตะวันตก มาใช้กับสตาร์ทอัพของเขา
มีการจ้างที่ปรึกษาต่างชาติเข้ามา ความคิดแบบเดิมๆ ว่าธุรกิจควรบริหารยังไงถูกโยนทิ้งไป และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ ถูกทุ่มไปที่ “การวิจัยและพัฒนา” หรือ R&D
การเติบโตของ Huawei ผูกติดกับการผลักดันการส่งออกของจีน ตลาดในประเทศตอนนั้นยังเล็กมาก การขายของไปต่างประเทศคือหนทางเดียวที่จะโต… และ Huawei ก็โตจริงๆ
ภายในปี 2005 ยอดขายกว่าครึ่งของบริษัทมาจากนอกประเทศจีน ตอนนั้นพวกเขาส่วนใหญ่ขายอุปกรณ์สื่อสารให้บริษัทอื่นๆ ลูกค้าก็มีตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านมือถือทั่วโลก
Huawei ส่งออกทุกอย่างตั้งแต่โมเด็มยันสายเคเบิลใต้ทะเล และไม่เคยพลาดโอกาสที่จะแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ
แค่ไม่กี่ปี ขนาดบริษัทใหญ่ขึ้นสามเท่า รายได้ก็สามเท่าตาม บริษัทได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นเบอร์หนึ่ง
แต่แล้ว… “ความลับดำมืด” บางอย่างก็เริ่มโผล่ออกมา และหลายคนที่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
Huawei โดนโจมตีด้วยเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ครั้งแรกในปี 2003
Cisco Systems หนึ่งในผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่ Huawei พยายามจะโค่น ฟ้องร้องข้อหา “การโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา”
ถ้าจะพูดให้แรงกว่านั้นก็คือ… Huawei ไปคัดลอกซอฟต์แวร์ของเราเตอร์และสวิตช์ของ Cisco มา แถมยังคัดลอกคู่มือมาด้วย แบบคำต่อคำ ไม่เว้นแม้แต่ “คำที่สะกดผิด”
อีกพักหนึ่ง Motorola ก็กล่าวหา Huawei ว่าส่งพนักงานแฝงตัวเข้ามาในบริษัท ตามเอกสารของศาล พนักงานคนนี้ใช้เวลาหลายปีในการคัดลอกพิมพ์เขียวของ “สถานีฐาน (Base Station)” ของ Motorola และส่งตรงไปให้ Huawei เพื่อเอาไปผลิตของลอกเลียนแบบออกมาขาย
ในปี 2008 พนักงานของ Nortell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ค้นพบว่าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดในที่ทำงานของเขาติดไวรัส แฮ็กเกอร์กำลังโคลนข้อมูลฮาร์ดไดรฟ์ทั้งลูก และส่งอิมเมจเหล่านั้นไปยังผู้ควบคุมในจีน
พวกเขาไม่แม้แต่จะซ่อน IP ของตัวเอง และยังคงพูดคุยเกี่ยวกับงานของพวกเขาในฟอรัมจีนทั่วไป
ในอีกหลายปีต่อมา อุปกรณ์ที่ลอกเลียนแบบ Nortell มาเป๊ะๆ ก็ถูกผลิตโดย Huawei แต่ Nortell ไม่มีเวลาไปฟ้องใคร เพราะบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ราคาถูกของ Huawei ได้และต้องล้มละลายไป
เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของคลื่นยักษ์ “การจารกรรมทางอุตสาหกรรม” ของจีนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
กรณีจารกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง แต่มันสำคัญเพราะเป็นการปูพื้นให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อ Huawei ในเวลานั้น
ทัศนคตินั้นยังถูกหล่อหลอมจากอีกสิ่งหนึ่ง: ความสัมพันธ์ที่ถูกกล่าวหาของ Huawei ที่มีกับกองทัพจีน รัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์
ผู้ก่อตั้ง Huawei เริ่มอาชีพวิศวกรในกองทัพ กองทัพยังเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกๆ ของ Huawei และยังคงซื้ออุปกรณ์สื่อสารของบริษัทต่อไปอีกหลายปี
ด้วยเหตุนี้ บางคนในตะวันตกจึงกล่าวหาว่าทั้งบริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของกองทัพ ข้อกล่าวหานี้ค่อนข้างจะเกินจริงไปบ้าง แต่การตอบสนองของ Huawei ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทปฏิเสธที่จะเปิดเผยโครงสร้างความเป็นเจ้าของ โดยระบุเพียงตามธรรมเนียมว่า บริษัท “เป็นของพนักงานทั้งหมด”
ในขณะเดียวกัน Huawei ก็ได้รับการสนับสนุนมากมายจากรัฐบาลจีน ทั้งเงินกู้ สัญญาจ้าง และช่องทางการสื่อสารโดยตรง
พรรคคอมมิวนิสต์เข้าใจดีว่ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีความสำคัญสูงสุดต่อความสำเร็จของปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีน
รัฐบาลยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการจารกรรมทางอุตสาหกรรมทั้งหมดต่อโลกภายนอก
ขณะที่ภายในประเทศ การลอกเลียนแบบเทคโนโลยีตะวันตกไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับ แต่ยังได้รับการสนับสนุนและยกย่อง โดยนำเสนอว่าเป็นหนทางที่จะ “เอาคืน” ตะวันตกสำหรับความอัปยศในอดีต
นักวิเคราะห์ที่เห็นความสัมพันธ์ของบริษัทกับกองทัพและรัฐบาลต่างก็กังวล ตรรกะมีอยู่ว่า แม้ว่า Huawei จะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์จากรัฐบาลและพรรคฯ แต่บริษัทจะไม่ต้องการ “ตอบแทนบุญคุณ” บ้างหรือ
เพราะ Huawei กำลังจัดการข้อมูลระดับ “เทราไบต์” ที่ไหลเข้าออกและระหว่างประเทศในอเมริกาและยุโรป พรรคคอมมิวนิสต์อาจขอให้ Huawei “แอบดู” หรือบังคับให้บริษัทมอบข้อมูลบางส่วนโดยอ้าง “ความมั่นคงของชาติ”
ซึ่งถ้ามีวิธีที่จะเข้าใจว่า Huawei ทำงานอย่างไรจริงๆ อะไรเกิดขึ้นภายในโครงสร้างการจัดการของบริษัท อะไรคือแรงจูงใจของผู้บริหาร และความสัมพันธ์ของพวกเขากับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นอย่างไร
แน่นอนว่า การจะได้ข้อมูลนั้นมา ใครสักคนจะต้องแทรกซึมเข้าไปในบริษัท แฮ็กเข้าไปในระดับบริหารสูงสุดอย่างสมบูรณ์ มันเป็นงานโครตยาก ที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้
แต่รัฐบาลอเมริกันมีคนที่เชี่ยวชาญเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่
และแล้ว Operation Shotgiant ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ปฏิบัติการนี้ดำเนินการโดย TAO หรือ Tailored Access Operations ซึ่งเป็นหน่วยงานจารกรรมทางไซเบอร์ลับสุดยอดของ National Security Agency และไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือหนึ่งในหน่วยแฮ็กที่เก่งกาจที่สุดในโลก
เป้าหมายของ TAO ไม่ใช่การทำลายล้าง แต่เป็นสิ่งที่คนในวงการเรียกว่า “Advanced Persistent Threat”
หลังจากแทรกซึมเป้าหมายได้แล้ว มันจะ “คงอยู่” และ “เตร็ดเตร่” อยู่ในนั้น คอยเฝ้าดู สังเกตการณ์ ภัยคุกคามที่สนับสนุนโดยรัฐส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ และเป็นเวลาหลายทศวรรษที่ TAO เป็นภัยคุกคามที่ล้ำหน้า ต่อเนื่อง และน่ากลัวที่สุดในบรรดาทั้งหมด
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการข้อมูลลับสุดยอดจริงๆ TAO คือหน่วยงานที่พวกเขาเรียกใช้
ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 2000, TAO เป็นความลับอย่างสมบูรณ์ NSA สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยแฮ็กชั้นยอดของตนไว้เป็นความลับได้
แต่ทั้งหมดเปลี่ยนไปในปี 2013 เมื่อคนคนหนึ่งตัดสินใจ “แฉความลับ” เขาคือ Edward Snowden ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ผู้เปิดโปง” ที่โด่งดังและสำคัญที่สุดตลอดกาล
เอกสารจำนวนมากที่เขานำออกมาเผยแพร่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับ TAO และเอกสารเหล่านั้นจำนวนมากมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องหนักๆ แต่เอกสารไม่กี่หน้าที่อธิบายถึง Operation Shotgiant ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่หนักที่สุด
เอกสารเหล่านั้นมาจากสไลด์ลับสุดยอดที่ NSA ทำขึ้นสำหรับ Five Eyes ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรหน่วยข่าวกรอง 5 ประเทศ ข้อมูลบางส่วนก็ถูกเซ็นเซอร์ แต่ข้อมูลที่เหลืออยู่ก็ให้เบาะแสเพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่สำคัญที่สุด ทำให้โลกได้รับรู้วัตถุประสงค์ของปฏิบัติการใหญ่ในครั้งนี้
วัตถุประสงค์แรกและสำคัญที่สุดคือการค้นหาว่า Huawei มีส่วนร่วมในการสอดแนมในนามของรัฐบาลจีนหรือไม่
วัตถุประสงค์ที่สอง คือการได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวบริษัทเอง ถอดรหัสโครงสร้างองค์กรที่ลึกลับของ Huawei ความสัมพันธ์ภายใน แม้กระทั่งแผนการในอนาคต
เมื่อบรรลุสองวัตถุประสงค์แรกแล้ว NSA ก็จะสามารถเข้าถึงหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างสมบูรณ์ ทำไมต้องเสียโอกาสและไม่ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับมันล่ะ
ดังนั้น วัตถุประสงค์ที่สาม คือการใช้ศักยภาพของ Huawei เพื่อ “เติมเต็มช่องว่างทางข่าวกรอง” ที่ NSA มี เจาะลึกส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของบริษัท ถอดรหัสโปรโตคอลการเข้ารหัสของบริษัท แอบดูแผนการวิจัยและพัฒนา และพิจารณาห่วงโซ่อุปทานของบริษัทอย่างละเอียด
สุดท้าย เมื่อทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น ส่วนที่ทะเยอทะยานที่สุดก็สามารถเริ่มต้นได้ นั่นคือการใช้ Huawei เพื่อเข้าถึงเป้าหมายที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่เป็นมิตร
หลังจากเห็นวัตถุประสงค์นี้ หลายคนตีความว่า NSA พยายามติดตั้ง “Backdoors” ของตัวเองเข้าไปในอุปกรณ์ของ Huawei
คำถามที่น่าสนใจก็คือแล้ว TAO จะบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ได้อย่างไร?
ในสไลด์แผ่นที่สามจากการรั่วไหลของ Snowden มันแสดงอีเมลของ Ren Zhengfei ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Huawei และ Su Yongfang ประธานบริษัท นอกจากนี้ยังแสดงวงสังคมของพวกเขา ผู้คนที่พวกเขาสื่อสารด้วยทางอีเมล
ตามรายละเอียดเพิ่มเติมจาก Spiegel หนังสือพิมพ์เยอรมันที่ Snowden แบ่งปันข้อมูลรั่วไหลด้วย NSA ได้แทรกซึมเข้าไปในเซิร์ฟเวอร์อีเมลที่สำนักงานกลางของ Huawei ใน Shenzen
ที่นั่น เหล่าแฮ็กเกอร์ได้ดักจับการสื่อสารภายในทั้งหมดของ Huawei และสแกนหา “รายละเอียดสำคัญ”
นั่นคือสองวัตถุประสงค์แรกของ Shotgiant ที่สำเร็จลุล่วง แล้ววัตถุประสงค์อื่นล่ะ?
ณ จุดหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของ NSA ยอมรับว่าปฏิบัติการนี้ พวกเขาจัดการจนได้ข้อมูลเกี่ยวกับ Huawei มามากมาย มากเกินกว่าที่พวกเขาจะจัดการไหว
พวกเขายังได้เข้าถึง “ซอร์สโค้ด” ของผลิตภัณฑ์ Huawei ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถไม่เพียงแต่สามารถทำ “วิศวกรรมย้อนกลับ” ได้ แต่ยังสามารถชำแหละเพื่อหาช่องโหว่ใดๆ ก็ได้
ในช่วงต้นยุค 2010 สถาบันต่างๆ ทั่วโลกได้เริ่มการสืบสวนของตนเองเกี่ยวกับบริษัท ตามกฎแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้หลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับรัฐบาลหรือปฏิบัติการสอดแนม แต่ก็ยังแนะนำหรือกระทั่งเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ Huawei อยู่ดี
ในปี 2013 อดีตหัวหน้า NSA ออกมาบอกว่าเขาเคยเห็น “Backdoor” ในอุปกรณ์ของ Huawei ด้วยตาของเขาเอง มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รายละเอียดเกี่ยวกับ Operation Shotgiant รั่วไหลออกมา ดังนั้น คำพูดของเขาจึงดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันที
ในการตอบสนอง Huawei โต้กลับ พวกเขาเรียกข้อกล่าวหาเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ Huawei เริ่มเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของบริษัท และถึงกับเข้ารับการ “ประเมินความปลอดภัย” ในความพยายามที่จะพิสูจน์ว่า NSA พูดมั่ว
แต่ก็ต้องบอกว่านับตั้งแต่ต้นยุค 2000 นักวิจัยได้ค้นพบบั๊กจำนวนมากในอุปกรณ์ของ Huawei บางตัวอนุญาตให้ “ดักจับข้อมูล” “ยกระดับสิทธิ์” หรือทำสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่ผู้ไม่หวังดีหรือรัฐบาลที่เป็นศัตรูจะพบว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าช่องโหว่เหล่านี้ถูกจงใจสร้างขึ้นหรือไม่ ว่ามันเป็น Backdoor ที่ตั้งใจทิ้งไว้ หรือเป็นเพียงความผิดพลาดโดยสุจริตที่นักเขียนโค้ดของ Huawei ทำขึ้น
และเนื่องจาก NSA ได้สิทธิ์เข้าถึงผลิตภัณฑ์จำนวนมากของ Huawei ในที่นั่งแถวหน้าตั้งแต่ปี 2009 มันจึงเป็นไปได้ที่ NSA อาจรู้ถึงช่องโหว่เหล่านั้น และแม้กระทั่งใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเอง
เหมือนในสถานการณ์ที่กล่าวถึงในตอนต้น… ในปี 2020 ทำเนียบขาวก็ย้ำอีกครั้งว่าเห็น Backdoor ในอุปกรณ์ Huawei และรู้เกี่ยวกับพวกมันมาตั้งแต่ Operation Shotgiant แต่ก็ไม่มีการให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
แต่เจ้าหน้าที่กลับชี้ไปที่กฎหมายของจีนที่บังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับรัฐบาล
กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติของจีน บังคับให้พลเมืองและองค์กรทั้งหมดต้องแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติจริงๆ
แต่ “ความมั่นคงของชาติ” ก็เป็นคำจำกัดความที่คลุมเครือ
NSA ก็ดำเนินการ Operation Shotgiant เพื่อจุดประสงค์ด้านความมั่นคงของชาติเช่นกัน พวกเขาดำเนินการภายใต้กฎหมายอเมริกัน เช่นเดียวกับที่ Huawei จะดำเนินการภายใต้กฎหมายจีน หาก Backdoor เหล่านั้นเป็นความตั้งใจ
สุดท้าย Operation Shotgiant แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของเราเปราะบางเพียงใด
Huawei ที่เปรียบเสมือน “อัญมณีล้ำค่า” ของเศรษฐกิจจีน ถูกเจาะระบบ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทถูกสอดส่อง และไม่มีใครสามารถหยุดการโจมตีนี้ได้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนกระทั่งรายละเอียดของปฏิบัติการรั่วไหลออกมา
ในแง่นี้ Operation Shotgiant จึงเป็นจุดชนวนของการโจมตีที่คล้ายคลึงกันอีกนับไม่ถ้วนที่ตามมาในภายหลัง เช่น การโจมตี SolarWinds ซึ่งแฮ็กเกอร์ได้ดักจับการสื่อสารในระดับสูงสุดของรัฐบาลอเมริกันได้เฉกเช่นเดียวกันนั่นเองครับผม
References : [spiegel, theguardian, nytimes, washingtonpost, wired]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา