13 พ.ย. เวลา 13:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ฐานที่มั่นสุดท้าย ไม่ได้แย่เท่าไร ดีกว่าที่คิดมากเลยแหละ
เมื่อไม่นานมานี้ ผมตัดสินใจยอมแพ้ในหุ้นไทยแล้วครับ ผมเลือกที่จะไม่พยายามหาโอกาสในหุ้นไทยอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ ผมยังเคยแบ่งเงินบางส่วนที่ได้รับ มาซื้อหุ้นไทยที่ผมชอบไว้บ้าง
แต่ผมเปลี่ยนความคิดใหม่ คือจะไม่เติมอีกแล้ว ที่เหลืออยู่ก็จะถือไว้ เก็บไว้กินปันผลอย่างเดียว และพยายามคงสัดส่วนให้เงินปันผลที่ได้ เพียงพอค่าใช้จ่ายครับ
1
แต่ถ้าบางตัวอย่างหาดทิพย์ และหุ้นแข็งแกร่งอีกไม่กี่ตัว เกิดราคาถูกมาก ปันผลดี ผมก็อาจจะเก็บเพิ่มบ้างเป็นระยะ
1
แต่ต่อจากนี้ไป เงินเกือบทั้งหมดต่อจากนี้ จะอยู่แต่ในหุ้นต่างประเทศครับ
ผมไม่มีความคิดจะเอากลับมาอีกแล้ว ถ้ากฎเกณฑ์มันไม่ได้เอื้อ งั้นประเทศไทยก็ไม่ต้องมีวันได้เงินของผมกลับมาล่ะกัน เดี๋ยวผมหาวิธีออกไปใช้เงินก็ได้ครับ
(จริง ๆ ผมก็รู้วิธีอยู่แหละ มีคนเคยบอกผม ผมก็อาจจะทำในสักวัน แต่ผมรู้ดีว่า ตัวเองคงไม่ได้ซื้อ Hard Asset หรือมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากอะไรนัก ผมชอบชีวิตตัวเองตอนอยู่อย่างสมถะมาก)
1
เราอาจะเห็นหุ้นไทยหลายตัว ตอนนี้ราคาถูกมาก ปันผลดีด้วย แต่รู้หรือไม่ครับว่า การที่ผลประกอบการของบริษัทไม่โต หรือโตช้ามากเนี่ย มันคือต้นทุนค่าเสียโอกาสมหาศาล
ถ้าเราพอใจกับผลตอบแทนแค่เพียงปันผล แต่ไม่หวังการเติบโต เพราะหวังยากมาก จากสภาพเศรษฐกิจ ที่ดูไม่มีอะไรให้เอื้อเลย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะเราพอใจเท่านี้
แต่ลองคิดกันให้ลึกซึ้งดูอีกสักนิดนะครับ ถ้าเกิดผลประกอบการ นอกจากจะไม่โตแล้ว เกิดตกต่ำลงล่ะ หมายความว่า ปันผลที่เราเห็น ก็นะไม่ได้เพิ่มขึ้น แถมมีโอกาสจะลดลงด้วย
1
จาก Dividend Yield ที่เราเห็น เช่นสมมติ 8% จากราคานี้ ในอนาคต ถ้าเราคิดในเชิง Dynamics ของการเปลี่ยนแปลง ก็ตีความได้ว่า Dividend Yield ก็จะน้อยลงน่ะสิ
1
ถ้าผลประกอบการเกิดไม่โต ปันผลก็ไม่เพิ่มอีก ก็มีวิธีเพิ่ม Dividend Yield เหมือนกัน คือราคาหุ้นต้องลดลงครับ
1
พอเราคิดเรื่องขาลงแบบนี้ โดยไม่เห็นสัญญาณขาขึ้นเลย เพราะมองไม่เห็นแรงส่ง
การที่เราต้องเหนื่อยยาก เพื่อให้ตัวเองได้ผลตอบแทนพอ ๆ กับเงินปันผล แถมต้องมาระวังว่า ผลประกอบการจะแย่ไปกว่านี้ หรือจะฟื้นกลับมาได้ไหมนะ
แบบนี้ เราเอาเงินไปลงทุนในพวกกองทุนอิงดัชนีอย่าง S&P500, Nasdaq-100, MSCI World ที่ยังคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวแบบ Nominal Return คือ 8 - 10% ต่อปี มันไม่ง่ายกว่าหรอครับ
หรือการเลือกลงทุนในกองทุนตระกูล Mega ของ บลจ.ทาลิส ที่ยังคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวประมาณ 10 - 12% ต่อปี โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะในพอร์ตก็มีแต่หุ้นเทพ ๆ ทั้งนั้น
ก็ดูเป็นทางเลือก ที่ง่ายกว่า แถมผลตอบแทนจากการทบต้นในระยะยาว ผมว่ามันก็คุ้มค่าความอดทนมากนะครับ
จบเรื่องนี้ไป ต่อไปมาแตะกันที่เรื่องหุ้นต่างประเทศกันหน่อยครับ
ในต่างประเทศ ผมเจอหุ้นบางตัวคุณภาพดีมาก เป็นสุดยอด High Quality Business เป็นผู้ชนะแล้วด้วยซ้ำ ผลประกอบการก็โตเฉลี่ยเกิน 20% มาหลาย 10 ไตรมาสย้อนหลัง
1
อนาคตมองไป ยังพบว่า ตลาดใหญ่มาก และยังเหลือพื้นที่ให้บริษัทสามารถเพิ่ม Market Share ได้อีกบาน
แต่รู้ไหมครับว่า หุ้นตัวนี้ ตอนนี้มี EV/FCF เพียง 11 เท่าเท่านั้น
นี่คือตัวอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัท ที่ Top Line Growth ยังอยู่ในระดับ Double Digit โครงสร้างธุรกิจเอื้อให้เกิด Operating Leverage สูง แต่ Multiple ไม่ได้แพงเลย
หนึ่งในหลายตัวนั้น ตอนนี้มี P/E แค่ 20 เท่าเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนเห็นหุ้น GOOGL เมื่อช่วงต้นปี ตอนที่คนกำลังหวาดกลัวกันเลยครับ
แน่นอน ของที่มันดูแพงมาก ๆ ก็มีอยู่เช่นกัน แต่มัน High Growth ไงครับ บางบริษัท รายได้อาจจะโต 30% แต่สามารถดันให้ FCF เพิ่มถึง 100% ก็มีเหมือนกัน
บริษัทแบบนี้ มีโมเดลรายได้แบบ Recurring
Switching Cost สูง ลูกค้าย้ายยากมาก
1
P/FCF มีตั้งแต่ 30 - 200 เท่า เราคิดว่า Forward กลับมาแล้ว มันแพงหรือถูกกันล่ะครับ
1
เรื่องนี้ผมขอไม่ตอบ ให้ลองไปวิเคราะห์กันดูเองครับ
ปีนี้ ผมได้ปรับความคิดตัวเองหลายรอบมาก Unlearn และ Relearn จนหลายครั้งก็ท้อแท้นะ
1
แต่มันก็ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า ถ้าในเมื่อ Playbook ของผมที่ใช้กับหุ้นโลก มันทำได้ดีขนาดนี้
1
(ผมลอง Back-test ไปไกลมาก และจริง ๆ มันก็เป็น Playbook ที่ใช้กับหุ้นไทยนั่นแหละ แต่ปัญหาคือ ประเทศเราสูญเสีย Factor อย่างนึงไปแล้ว จึงทำให้ Playbook นี้ใช้ไม่ค่อยจะได้แล้วครับ)
1
ในโลกนี้มีหุ้นดีๆ เยอะมาก หลายตัวเมื่อมองอย่างลึกซึ้ง Valuation ไม่ได้แพงเลยสักนิด Business Model เทพมาก จนสร้างรายได้แบบขนมชั้นได้เรื่อย ๆ
1
แล้วแบบนี้ เราจะยังทนดักดานกับหุ้นไทย ที่มองไม่เห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือมี New S-curve อะไรน่าสนใจเลย ไปทำไม
1
อย่างไรก็ตามแต่ ผมก็ยังเหลือหุ้นไทยบางตัว ที่ผมรักในธุรกิจมันมาก เก็บไว้กินปันผลเรื่อย ๆ และเลือกจะไม่ขายมันออกไปครับ
โฆษณา