14 พ.ย. เวลา 08:19 • ความคิดเห็น
เมื่อสักสามสิบปีที่แล้ว พระท่านก็สอนเรื่องราว ตื่นมาก็กราบพระสวดมนต์ ก่อนออกจากบ้าน ก็กราบพระ..พูดว่า..วันนี้ ข้าพเจ้าจะนำกายพ่อแม่ที่ลูก ไปทำมาหากิน มีอารมณ์โลภโกรธหลง .อารมณ์นึกคิด กายวาจาใจ ไปทำมาหากิน ไปยึดไอ้นั้นไอ้นี้ มาเป็นของๆตน
พอตอนเย็น ก็เข้าไปกราบพระ ทบทวนตัวเอง วันนี้ลูก ไปสร้างกรรมอะไรมาบ้าง ใช้อารมณ์อะไร หงุดหงิด โมโห .เห็นคนนั้นเีคนี้ไม่ดีอะไรบ้าง อะไรค้างคาใจ .เราก็มากราบพระ หายใจลึกๆ อยู่กับลมหายใจ ภาวนาพุทโธ ..ทำกายนิ่งๆจิตนิ่งๆ คลายพิษของอารมณ์ที่ไปยึดเอามา ให้กายนี้มีกรรม เราก็ได้ฝึกหัดตัวเราเอง ที่จะสลัดอารมณ์ ที่ไปยึดมา เห็นอารมณ์นั้นเป็นตัวกรรมขัดเจนขึ้น
คนเรานั้น มันอ่านตัวเอวไม่ออก เห็นตัวเองดีแล้ว อวดเก่งอวดดี ..มีทิฐิต่างๆ มากมายก่ายกอง มัวแต่จับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยจับผิดตนเองเลย มัวแต่โทษคนนั้นคนนี้ ความผิดของคนอื่น ใหญ่โต เหมืิอนภูเขา ความผิดของตนเอง.. เหมือนเส้นขนอณูมองไม่เห็น ..มีตาเห็นแต่ข้างนอก ตาในก็บอด มองไม่เห็นความผิดของตัวเอง
มันเป็นเรื่องราวที่ต้องทำ เหมือนเรากินข้าวทุกวัน
โฆษณา