16 พ.ย. เวลา 05:47 • ประวัติศาสตร์

ต้นกำเนิดบิรยานี: เรื่องเล่าของการเดินทางและวัฒนธรรมอาหารที่หลอมรวม

ประวัติศาสตร์ของบิรยานี (Biryani) ไม่ได้เป็นแค่เรื่องอาหาร แต่เป็นเรื่องราวการเดินทางอันหอมหวนของการอพยพ การก่อตั้งอาณาจักร และการหลอมรวมทางวัฒนธรรมอาหารจากหลายทวีป เมนูนี้เริ่มต้นจากจานข้าวหอมเครื่องเทศในเปอร์เซีย เดินทางผ่านเส้นทางของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง จนมาเบ่งบานกลายเป็นสุดยอดอาหารข้าวผสมเนื้อสัตว์ที่โด่งดังไปทั่วอินเดียในที่สุด
หากย้อนกลับไปดูรากฐานดั้งเดิม เมนูนี้มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซียโบราณ (อิหร่านในปัจจุบัน) โดยมีบรรพบุรุษร่วมสายเลือดที่รู้จักกันในชื่อ ปิลาฟ (pilaf หรือ pulao) ซึ่งเป็นอาหารง่าย ๆ สไตล์หม้อเดียวจบ ที่นำข้าว เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องเทศหอม ๆ มาหุงรวมกันในน้ำสต็อกเข้มข้น
แม้แต่ชื่อ "บิรยานี" ก็ยังบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงกับภาษาเปอร์เซีย (Farsi) โดยมาจากคำว่า birian ที่แปลว่า "ทอดก่อนหุง" ซึ่งหมายถึงเทคนิคการนำข้าวไปผัดกับน้ำมันหรือเนยใสก่อนที่จะนำไปปรุงต่อ หรือบางทฤษฎีก็ว่ามาจากคำง่าย ๆ ว่า birinj ที่หมายถึง "ข้าว" นั่นเอง
การที่เมนูปิลาฟสามารถแพร่กระจายไปทั่วตะวันออกกลางและเอเชียกลางได้นั้น เป็นผลมาจากการขยายตัวของอาณาจักรเปอร์เซียและอาณาจักรอิสลามที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยวางรากฐานทางวัฒนธรรมอาหารที่เชื่อมโยงกันในภูมิภาคขนาดใหญ่นี้
การเดินทางครั้งใหญ่ของกลุ่มคนจำนวนมาก ทั้งพ่อค้า นักแสวงบุญตามเส้นทางสายไหม ไปจนถึงเหล่าแม่ทัพและนักรบ คือกุญแจสำคัญที่นำอาหารสไตล์ปิลาฟแบบเปอร์เซียเข้าสู่ดินแดนอินเดียอย่างแท้จริง
มีทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่า อาหารรูปแบบดั้งเดิมที่เรียบง่ายนี้ถูกนำเข้ามาโดยผู้พิชิตชาวเติร์ก-มองโกล ติมูร์ (Timur) ซึ่งว่ากันว่าเขาได้ให้อาหารหุงหม้อเดียวที่ให้พลังงานสูงนี้แก่กองทัพของเขาบนพรมแดนอินเดียราวปี ค.ศ. 1398 ซึ่งเป็นวิธีการปรุงอาหารที่เหมาะกับวิถีชีวิตเร่ร่อนและนักรบ
อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้ปิลาฟได้รับการพัฒนาและเป็นที่นิยมอย่างแท้จริงคือในสมัยจักรวรรดิโมกุล (ศตวรรษที่ 16–19) ราชวงศ์โมกุลซึ่งมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งในเปอร์เซีย ได้กลายเป็นผู้อุปถัมภ์อาหารชั้นเลิศ การที่ราชสำนักดึงดูดพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญจากเปอร์เซียและเอเชียกลางเข้ามายังอินเดียอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปิลาฟค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นบิรยานีที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
บิรยานีถูกยกระดับให้กลายเป็นเมนูเด่นประจำงานเลี้ยงของจักรพรรดิภายในโรงครัวหลวงของโมกุล โดยพ่อครัวได้นำเอาเทคนิคการปรุงอาหารแบบเปอร์เซียที่หรูหราอย่าง ดุม ปุกต์ (dum pukht) ซึ่งคือการอบในหม้อที่ปิดผนึกอย่างช้า ๆ มาผสมผสานกับการปรุงแบบหลายชั้น (เรียงข้าวกับเนื้อสัตว์สลับกัน) ซึ่งนี่แหละคือหัวใจสำคัญที่ทำให้บิรยานีแตกต่างจากปิลาฟอย่างชัดเจน การผสมผสานนี้ได้สร้างสรรค์บิรยานีอันเลื่องชื่อขึ้นในศูนย์กลางอำนาจของโมกุล เช่น เดลี ลัคเนา และไฮเดอราบัด
นอกจากนี้ ยังมีอีกทฤษฎีที่สำคัญไม่แพ้กันที่ยกความดีความชอบให้กับพ่อค้าชาวอาหรับ ซึ่งเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้นำอาหารข้าวผสมเนื้อสัตว์ที่คล้ายกันมายังชายฝั่งมาลาบาร์ทางตอนใต้ของอินเดียตั้งแต่ก่อนสมัยโมกุลเสียอีก ทฤษฎีทางทะเลนี้สอดคล้องกับหลักฐานของอาหารพื้นเมืองภาคใต้ เช่น "อูน โซรู" ในวรรณคดีทมิฬโบราณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคใต้มีความพร้อมทางวัฒนธรรมอาหารประเภทนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงรับเอาและพัฒนาบิรยานีแบบพื้นเมืองอย่าง Thalassery และ Hyderabadi ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น บิรยานีจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนตลอดช่วงประวัติศาสตร์ โดยเป็นการรวมเอาความสง่างามของรสนิยมชาวเปอร์เซีย ประสิทธิภาพการปรุงอาหารของชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง และเครื่องเทศที่เข้มข้นหลากหลายของอินเดียเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
โฆษณา