Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน
•
ติดตาม
18 พ.ย. เวลา 04:35 • สิ่งแวดล้อม
วัดกู้ (พระนางเรือล่ม)
ระดับน้ำทะเล (Sea Level) ส่งผลต่อการบริหารน้ำที่ปลายคลองบางไทรอย่างไร
ระดับน้ำทะเล (Sea Level) ส่งผลต่อ การบริหารน้ำที่ปลายคลองบางไทรอย่างไร
เพราะปลายคลองบางบาล–บางไทรคือ จุดบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมตรงกับอิทธิพลของน้ำทะเลขึ้น–ลง (tidal influence) โดยตรงครับ
1) หลักฟิสิกส์ง่าย ๆ ก่อน: เจ้าพระยา = แม่น้ำที่ถูกทะเลดันขึ้นมาไกลมาก
น้ำทะเลสามารถดันระดับน้ำขึ้นมาถึงบางไทร–ปทุมได้
คือขึ้นมาถึงระยะ 80–120 กม. จากปากอ่าว ขึ้นกับฤดูกาลและปริมาณน้ำเหนือ
ดังนั้นระดับน้ำทะเลจึงส่งผลโดยตรงต่อ:
ระดับน้ำท้ายน้ำ (downstream water level) ที่ปากคลองบางไทร
ความต่างระดับ (head difference) ระหว่างคลองกับแม่น้ำ
ความสามารถในการ “ปล่อยน้ำออกจากคลอง”
นี่คือแก่นสำคัญครับ:
คลองจะปล่อยน้ำได้มากหรือไม่นั้น ขึ้นกับระดับน้ำทะเลร่วมด้วย—ไม่ใช่แค่ระดับน้ำจากตอนบน
2) ระดับน้ำทะเลสูง (High tide / Sea-level rise) → กระทบโดยตรงต่อความสามารถในการปล่อยน้ำ
2.1 ลดความสามารถในการระบายน้ำ (Discharge Capacity ลดลง)
หลักการคือ:
คลองไหลลงเจ้าพระยาแบบ “อาศัยความต่างระดับ” (gravity flow)
ถ้าระดับน้ำเจ้าพระยาตอนล่างสูงขึ้น → ความต่างระดับน้อยลง → การไหลช้าลง
ผลที่เกิดขึ้น:
หากปลายคลองเจอน้ำทะเลหนุน → เปิดประตูเต็มที่ก็ไหลออกได้น้อย
อาจเกิดน้ำท่วมขังในคลองเอง
กระทบพื้นที่ต้นคลอง (บางบาล–เสนา–ผักไห่)
นี่คือสาเหตุว่า แม้คลองออกแบบไว้ 1,200 m³/s ก็จะใช้ไม่ได้ ถ้าท้ายน้ำสูงเพราะทะเลหนุนครับ
2.2 เกิด “backwater effect” = น้ำทวนกลับเข้าคลอง
เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูง:
ระดับน้ำเจ้าพระยาตอนล่างสูงกว่าในคลองบางช่วง
ทำให้เกิดแรงดันให้น้ำ “ไหลย้อนกลับเข้าไปในคลอง”
ทำให้เจ้าหน้าที่ต้อง ปิดประตู เพื่อกันน้ำทะเลไหลขึ้น
ผลกระทบเมื่อปิดประตู:
น้ำจากตอนบนไหลลงคลองไม่ได้
ทุ่งบางบาล–บางไทร–ผักไห่ ระบายน้ำช้าลง
ระดับน้ำในทุ่งค้างนานขึ้น 1–3 สัปดาห์ได้ในปีน้ำมาก
2.3 เกิดจุดวิกฤตเวลาน้ำขึ้น–ลง (Critical Timing Windows)
การบริหารน้ำปลายคลองต้อง “จับจังหวะ” ดังนี้:
น้ำลง → เปิดประตูได้มาก เพราะปลายน้ำต่ำ
น้ำขึ้น → เปิดได้น้อยหรือปิด เพราะปลายน้ำสูง
แปลว่า:
จังหวะน้ำลง 6 ชั่วโมง/วัน คือช่วงทอง (golden window) ของการระบาย
ส่วนอีก 6 ชั่วโมงตอนน้ำขึ้น → ระบายได้น้อยหรือไม่ได้เลย
ถ้าเป็นช่วงฝนหนัก–น้ำเหนือกำลังลง → ทำให้ระบบเสี่ยง overload ง่ายมากครับ
3) ระดับน้ำทะเลถาวรที่สูงขึ้น (Sea-level rise) จะทำให้ระบบนี้อ่อนแอลงในทุกปี
SEA-level rise กระทบหนักใน 4 มิติ:
3.1 ความสามารถในการระบาย (capacity) จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี
ถ้าระดับน้ำทะเลยกตัวเฉลี่ย +10–20 ซม. ภายใน 10 ปี
→ downstream water level baseline สูงขึ้น
→ คลองต้องต่อสู้กับภาวะ “ท้ายน้ำสูงถาวร”
→ ความต่างระดับลดลง 10–30%
→ discharge ที่แท้จริงอาจลดจาก 1,200 → เหลือ 700–900 m³/s ในบางปี
นี่คือจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของ floodway ทุกแห่งในลุ่มน้ำที่ติดทะเลครับ
3.2 จุดเสี่ยงใหม่: น้ำทะเลย้อนเข้าระบบระบายน้ำชุมชน
ถ้าทะเลสูงมาก:
ปลายน้ำอาจสูงพอจนผลักน้ำเข้าคลองรอง–ท่อ–ระบบระบายน้ำชุมชนในบางไทร/ปทุม
เกิด “น้ำผสม” (compound flooding) = ฝนตก + น้ำเหนือ + น้ำทะเลหนุน
ทำให้ท่วมเร็วและสูงกว่า flood จากฝนเพียงอย่างเดียว
3.3 ความจำเป็นใช้ “ประตูน้ำระบบอัจฉริยะ (Smart Gates)”
เพราะ sea-level rise ทำให้:
ปิด–เปิดแบบเดิมไม่ได้
ต้องจัดตารางปล่อยน้ำสอดคล้องกับคลื่นน้ำทะเล (tidal cycle)
ต้องใช้ AI/forecast คำนวณล่วงหน้าเป็นรายชั่วโมง
ต้องสร้าง upstream storage ชั่วคราว (ใช้คลองเป็นห้องขังน้ำชั่วคราว)
นี่เป็นเทคนิคที่เนเธอร์แลนด์–ญี่ปุ่นใช้กับ floodgates ที่เจอ sea-level rise เหมือนกันครับ
3.4 ต้องยกระดับคันคลอง/เขื่อนป้องกันริมเจ้าพระยาเพิ่มในระยะ 10–30 ปี
เมื่อ sea-level rise
แรงดันน้ำเพิ่ม
ความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่งในปทุม–นนท์–กทม. สูงขึ้น
ทำให้การปล่อยน้ำจากคลองบางไทร “ถูกจำกัดมากขึ้น” เพราะต้องป้องกันเมืองหลวง
สุดท้ายจะเกิดสถานการณ์ว่า:
ทุ่งรับน้ำตอนกลาง (บางบาล–ผักไห่–บางไทร) ต้องอุ้มน้ำมากขึ้นกว่าทุกวันนี้
เพราะปล่อยลงท้ายน้ำได้ยากขึ้นกว่าปัจจุบัน
นี่คือ “สมการความเป็นธรรม” ที่ผมเน้นเสมอครับ
4) การบริหารในอนาคตต้อง “มองทะเลก่อน เหนือค่อยทีหลัง”
ผมสรุปแบบสั้นที่สุด:
ระดับน้ำทะเลสูง → downstream สูง → ปล่อยน้ำได้น้อย
ทะเลหนุน → ต้องปิดประตู → ทุ่งรับน้ำตอนกลางท่วมยาว
Sea-level rise → คลองบางไทรมีประสิทธิภาพลดลงทุกปี
กรุงเทพฯ–ปทุม–นนท์ “กลายเป็นตัวกำหนดเพดานการปล่อยน้ำ”
คนทุ่งบางบาล–ผักไห่–บางไทรต้องรับภาระมากขึ้นถ้าไม่มีมาตรการชดเชย/ปรับโครงสร้าง
ดังนั้นหัวใจคือ:
โครงสร้างปลายคลองจะทำงานได้ดีเท่ากับ “ความพร้อมของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง” และ “ระดับน้ำทะเล” เท่านั้น
ไม่ใช่เท่ากับความสามารถออกแบบของคลอง 1,200 m³/s
เหตุผลที่ผมยังไม่คุยเรื่อง “การปิดเจ้าพระยาหรือปิดอ่าวไทย”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการพูดถึงแนวคิด “ปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา” หรือ “ปิดอ่าวไทย” ด้วยเขื่อนหรือประตูน้ำขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน และควบคุมน้ำหลาก
แม้แนวคิดเหล่านี้ จะพบได้ในเอกสารนโยบายบางฉบับ และงานศึกษาระดับแนวคิด (conceptual / desk study) รวมถึงกรณีศึกษาในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยยัง ไม่มีรายงานความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่ครบทั้งวิศวกรรม–เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม–สังคม สำหรับโครงสร้างระดับ “ปิดอ่าว” หรือ “ปิดปากแม่น้ำ” ที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการ ความคิดเหล่านี้จึงควรมองว่าเป็น “ทางเลือกบนโต๊ะ” ที่ต้องการการวิเคราะห์เชิงระบบ และการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย มากกว่าจะเป็นโครงการที่พร้อมเดินหน้าในปัจจุบัน
ดังนั้น สำหรับการทำงานวิชาการ และข้อเสนอเชิงนโยบายในลุ่มเจ้าพระยา ณ ตอนนี้ สิ่งที่จับต้องได้ที่สุดคือ การมุ่งกลับไปที่โครงสร้าง และการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่แล้ว เช่น คลองระบายน้ำบางบาล–บางไทร (“เจ้าพระยา 2”) ระบบคันกั้นน้ำ ทุ่งรับน้ำ พื้นที่ชลประทาน และจุดควบคุมต่าง ๆ ที่กำลังมีบทบาทจริงต่อคนหลายล้านชีวิต
การชวนคุยเรื่อง “เจ้าพระยา 2” ให้ครบทุกมิติ—ตั้งแต่โครงสร้าง ฟังก์ชัน การกระจายความเสี่ยง การยุติธรรมเชิงพื้นที่ จนถึงผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ—จึงเป็นประเด็นที่จำเป็น และสำคัญยิ่งกว่าในการออกแบบระบบน้ำของประเทศ ให้เท่าทันอนาคตครับ
วิทยาศาสตร์
สังคม
ปรัชญา
1 บันทึก
3
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
“ระบบน้ำบางบาล–บางไทร” ผ่านมิติ Structure–Function–Risk
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย