Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน
•
ติดตาม
18 พ.ย. เวลา 04:26 • สิ่งแวดล้อม
จุดชมวิวปากแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อคลองบางบาล–บางไทรระบายน้ำลงเจ้าพระยา “ที่บางไทรตอนล่าง”
เมื่อคลองบางบาล–บางไทรระบายน้ำลงเจ้าพระยา “ที่บางไทรตอนล่าง” รัฐ/กรมชลประทานมีวิธีบริหารน้ำที่จุดนี้อย่างไร?
คำตอบแบ่งได้เป็น 3 มิติ:
(1) โครงสร้าง (Structure) → อะไรควบคุมการไหล
(2) การบริหาร (Operation Rule) → เปิด–ปิดอย่างไร
(3) ความเสี่ยง (Hydraulic Risks) → ถ้าทำผิด จะเกิดอะไรขึ้นท้ายน้ำ (ปทุม–นนท์–กทม.)
ผมสรุปแบบครบระบบดังนี้ครับ
1) โครงสร้างที่ใช้บริหารน้ำบริเวณ “จุดคืนสู่เจ้าพระยา” ที่อำเภอบางไทร
บริเวณปลายคลองบางบาล–บางไทรมีอาคารหลัก ๆ ดังนี้:
1.1 ประตูระบายน้ำหลัก (Main Control Gates) – 4 บาน
ขนาดบาน ~12.5 × 9.5 ม.
ทำหน้าที่ “ตั้งเกณฑ์การไหลออก” (Outflow Regulation)
บานขนาดใหญ่แบบนี้สามารถปล่อยน้ำ ได้เป็นพันลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
การเปิด–ปิดต้องสัมพันธ์กับระดับน้ำหน้า–หลังประตู (Upstream/Downstream Head Difference)
1.2 ประตูเรือสัญจร (Navigation Lock)
สำหรับการเดินเรือ แต่มีประโยชน์ด้านน้ำคือเป็น “ช่องทางน้ำเสริม” (secondary pathway) ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
หากไม่ควบคุมดีอาจปล่อยน้ำรั่วออกมาในปริมาณมาก
1.3 คันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา + คันคลอง
ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำที่ระบายลงมาถล่มพื้นที่อยู่อาศัยรอบ ๆ
เป็น “ตัวบังคับทิศทางการไหล” (flow routing)
1.4 จุดบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางไทร
เป็น confluence ที่สำคัญ เพราะถ้าปล่อยน้ำเร็วเกินไป จะชนกับ “ยอดน้ำ” ที่กำลังไหลลงมาจากพระนครศรีอยุธยา–เสาไห้–ท่าน้ำอ้อย
เป็นจุดที่ต้องใช้ข้อมูล real-time monitoring หนาแน่นที่สุด
2) วิธีการบริหารน้ำ (Operation Rule) ที่จุดคืนสู่เจ้าพระยา
ผมสรุปให้เป็นขั้น ๆ ตามหลักการชลประทาน แบบมืออาชีพนะครับ
2.1 หลักการใหญ่: “ไม่ให้เกิดคอขวดใหม่ที่ท้ายน้ำ”
สิ่งนี้สำคัญที่สุด
เพราะ:
ตอนบน เจ้าพระยามีคอขวดที่อยุธยา
ตอนล่าง ก็มีจุดอ่อนไหล่แม่น้ำหลายช่วงในปทุม–นนท์–กทม.
ดังนั้น น้ำที่ปล่อยจากคลองบางไทรลงเจ้าพระยาต้อง “สอดคล้องกับความสามารถของแม่น้ำตอนล่าง” เช่น:
ความจุของตลิ่ง (bankfull capacity)
จุดเสี่ยงล้นตลิ่งในปทุมธานี (สามโคก–เชียงราก–คลองหลวง)
จุดเสี่ยงนนทบุรี (บางบัวทอง–ไทรน้อย)
ตลิ่งอ่อนกรุงเทพฯ
2.2 เกณฑ์การเปิด–ปิดประตู (Gate Operation Rules)
เกณฑ์ที่ใช้ (แม้ไม่มีเอกสารเผยแพร่แบบละเอียด 100%) แต่จากหลักชลประทานสรุปได้เป็น 4 ชุดเกณฑ์:
(A) เกณฑ์ระดับน้ำท้ายน้ำ (Downstream Thresholds)
ประตูจะ “เปิดได้มาก–น้อย” ตามระดับน้ำที่ปากคลองวัดเทียบกับระดับควบคุม เช่น:
ถ้าระดับน้ำเจ้าพระยา < ระดับวิกฤต → เปิดได้มาก
ถ้าระดับน้ำใกล้ล้นตลิ่งในพื้นที่ปทุม–นนท์–กทม. → ลดอัตราปล่อยลงทันที
ซึ่งหมายความว่า คลองบางบาล–บางไทรไม่มีสิทธิปล่อยเต็ม 1,200 m³/s เสมอไป
ต้องเช็ก downstream first.
(B) การจับคู่กับ “ยอดน้ำ” ที่ไหลลงมาจากตอนบน
มีหลักการสำคัญมาก:
ไม่ปล่อยน้ำจากคลองในช่วงที่แม่น้ำเจ้าพระยามียอดน้ำกำลังลงถึงปากคลอง
เพราะถ้าปล่อยพร้อมกัน จะทำให้:
เกิด wave superposition
คอขวดใหม่เกิดที่บางไทรหรือปทุมทันที
เสี่ยงท่วมโรงงาน โกดัง ถนนใหญ่
(C) การดูเฮดต่างระดับ (Upstream–Downstream Head Differences)
เปิดประตูได้มาก–น้อยตามความต่างระดับ เช่น:
ถ้าระดับน้ำในคลองสูง–ท้ายน้ำต่ำ → เปิดได้เยอะ
ถ้าทั้งต้น–ปลายสูงพอ ๆ กัน → เปิดแล้วก็ไหลไม่ออก ต้องชะลอ
(D) การสั่งการตามสถานการณ์รายวัน (Adaptive Release Rule)
ใช้ข้อมูล real-time จาก:
ปากน้ำโพ
สรรพยา
ชัยนาท
อยุธยา
คลองระบายฝั่งตะวันออก (ป่าสัก–พระรามหก)
คลองระบายฝั่งตะวันตก (สุพรรณ–ท่าจีน)
เพื่อคำนวณว่า “วันนี้ปล่อยได้กี่ m³/s โดยไม่เสี่ยงท้ายน้ำ”
3) รูปแบบการบริหาร 3 Scenario สำคัญ
ผมแยกให้เห็นชัด ๆ ว่าต่างกันยังไง
Scenario 1: น้ำหลากขนาดกลาง (Moderate Flood) – ใช้คลองอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เปิดประตูตามแผนออกแบบ
ปล่อย 600–1,200 m³/s (ขึ้นกับ downstream)
ช่วยผ่อนน้ำในอยุธยาและทุ่งบางบาล–ผักไห่
ผลลัพธ์: ลดเวลาท่วม, ลดระดับน้ำหน้าเมืองอยุธยา
Scenario 2: น้ำหลากใหญ่ (Major Flood) – ปล่อยแบบ “แบ่งช่วงเวลา”
ช่วงยอดน้ำจากตอนบนยังไม่ผ่าน → ชะลอ/ปิดบางส่วน
เมื่อยอดน้ำตอนบนผ่านลงไปหน่อย → เริ่มเปิดประตูเป็นช่วง ๆ
การปล่อยเป็น “ระลอก” (Pulsed Release) ป้องกันท้ายน้ำท่วม
นี่คือกลยุทธ์เดียวกับที่ใช้ในปี 2554 (แม้ตอนนั้นยังไม่มีคลองบางบาล–บางไทร แต่หลักการเป็นแบบเดียวกัน)
Scenario 3: ท้ายน้ำอ่อนแอ (Downstream Constraint)
เช่น ปทุม–นนท์–กทม. ระดับน้ำสูงมาก–ฝั่งตลิ่งพังง่าย
ลดการปล่อยจากคลองลงอย่างมาก
ช่วยระดับอยุธยาไม่มากนัก
แต่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิด “น้ำท่วมซ้อน” ในกทม.
ผลลัพธ์คือ ความเสี่ยงของพื้นที่ทุ่งรับน้ำ (บางบาล–เสนา–ผักไห่) จะสูงขึ้นทันที เพราะต้องอุ้มน้ำแทนส่วนหนึ่ง
4) ความเสี่ยงสำคัญที่จุดคืนสู่เจ้าพระยา
ผมสรุปเป็น 4 ประเด็นใหญ่:
Confluence Backwater Effect
ถ้าปล่อยน้ำลงในช่วงที่แม่น้ำเจ้าพระยากำลังสูง → ระดับน้ำทวนกลับเข้าคลอง
เกิดน้ำล้น–กัดเซาะตลิ่ง
Downstream Flood Trigger
หากเปิดมากเกิน → ทำให้ปทุม–นนท์ล้นตลิ่งโดยตรง
Scour / Erosion ที่ปลายคลอง
การปล่อยน้ำแรง ๆ ทำให้เกิดจุดล้างพัง (scour hole) ใต้ปากคลอง → ต้องมีงานป้องกันตลิ่งเป็นพิเศษ
Stakeholder Conflict
ผู้ใช้พื้นที่ท้ายคลอง (บางไทร–ปทุม) อาจคัดค้านการปล่อยน้ำถ้าพบว่าท่วมซ้ำซาก
– จุดนี้ต้องการการใช้ “กติกาการร่วมตัดสินใจ” (co-decision rule) แบบที่ผมพูดถึงเสมอ ผู้ร่วมตัดสินใจ ควรมีความเข้าใจในระบบด้วยครับ
5) สรุปแบบเข้าใจง่ายที่สุด
น้ำที่ระบายมาจากคลองบางบาล–บางไทร “จะปล่อยมาก–น้อย–เร็ว–ช้าไม่ได้”
ต้องผูกกับระดับน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
เพราะถ้าปล่อยผิด → ความเสียหายจะย้ายจากอยุธยา → ปทุม/นนท์/กทม. ทันที
การบริหารจริงจึงใช้กฎแบบ:
Downstream-first rule
Avoid-peak rule
Pulsed-release rule
Real-time adaptive release
ทั้งหมดนี้คือ “หัวใจการบริหารน้ำที่ปลายคลองบางไทร” ครับ
(ตามที่ผมศึกษา และทำความเข้าใจ)
วิทยาศาสตร์
สังคม
ปรัชญา
1 บันทึก
3
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
“ระบบน้ำบางบาล–บางไทร” ผ่านมิติ Structure–Function–Risk
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย