โครงสร้างคลองบางบาล–บางไทร ทำให้การกระจายน้ำหลาก / ความเสี่ยง / ผลประโยชน์ เปลี่ยนไปในพื้นที่ต่าง ๆ

ผมจะแบ่ง “โซน” ให้เห็นภาพพื้นที่ต่าง ๆ แล้วไล่ทีละโซนว่า ใครได้อะไร – ใครเสี่ยงอะไร – ติดประเด็นความเป็นธรรมตรงไหน
1. แบ่งโซนแบบง่าย ๆ ก่อน
ผมขอแบ่งเป็น 5 โซน (เชิง functional):
โซน A – เมืองอยุธยาและพื้นที่ในคันป้องกัน (เกาะเมือง + รอบตัวเมือง)
โซน B – ทุ่งรับน้ำตอนกลาง: บางบาล–เสนา–ผักไห่–บางไทรนอกคัน (พื้นที่ที่ถูกใช้เป็น “ทุ่งพิเศษ” อยู่แล้ว)
โซน C – แนวคลองและสองฝั่งคลอง (เขตเวนคืน + หลังคันคลอง)
โซน D – ท้ายน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (บางไทร–ปทุม–นนท์–กทม.)
โซน E – พื้นที่ต้นน้ำ–ตอนบนเจ้าพระยา (เหนือเขื่อนเจ้าพระยา)
2. โซน A – เมืองอยุธยาและพื้นที่ในคันป้องกัน
คนหลัก ๆ ในโซนนี้ คือ...
ประชาชนในเขตเทศบาล/อบจ.รอบเกาะเมือง
ผู้ประกอบการท่องเที่ยว / โรงแรม / ร้านค้า
หน่วยงานดูแลโบราณสถาน–มรดกโลก
ผลประโยชน์
ลดความเสี่ยงน้ำท่วมตัวเมืองและโบราณสถานโดยตรง
โครงการระบุชัดว่าเป้าหมายหลักคือ บรรเทาอุทกภัยในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง ประมาณ 1.9–2.5 ล้านไร่/ปี โดยตัดน้ำบางส่วนออกจากลำน้ำเดิมผ่านคลองบางบาล–บางไทร
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว
น้ำไม่ท่วมยาว ๆ → เมืองเที่ยวได้ต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ชุมชนท่องเที่ยวริมคูคลองเดิมเสียหายน้อยลง
ภาพลักษณ์ “เมืองมรดกโลก” ที่ชวนมาเที่ยวในฤดูฝนก็ดีขึ้น
ลดค่าใช้จ่ายซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน
ถนนหลัก–สะพาน–ระบบไฟฟ้าในเมืองโดนน้ำน้อยลง
งบประมาณจังหวัดมีเหลือไปทำอย่างอื่นมากกว่าซ่อมหลังน้ำลดทุกปี
ผลกระทบ / คำถามเชิงความเป็นธรรม
เมืองปลอดภัยขึ้น เพราะมีคนอื่นเป็น “ทุ่งรับน้ำ” ให้
ถ้าไม่มีระบบชดเชย–ดูแลพื้นที่ที่รับน้ำแทน ก็จะเกิด narrative แบบที่สื่อและชาวบ้านพูดว่า
“เราต้องจมน้ำเพื่อช่วยเมือง–ช่วยกรุงเทพฯ”
3. โซน B – ทุ่งรับน้ำตอนกลาง: บางบาล–เสนา–ผักไห่–บางไทรนอกคัน
พื้นที่เหล่านี้ถูกกำหนดอย่างเป็นทางการว่าเป็น พื้นที่รับน้ำนอง ในปีน้ำมาก เพื่อกันไม่ให้กรุงเทพฯ–ปริมณฑลท่วมหนัก และเป็นพื้นที่เป้าหมายของโครงการคลองบางบาล–บางไทรด้วย
กลุ่มคนหลัก ๆ...
ชาวนา–เจ้าของสวน (ข้าว พืชไร่ พืชผัก ฯลฯ)
ชุมชนริมคลองเดิม/ริมแม่น้ำ
คนทำอาชีพที่ต้องใช้ทางหลวง/ถนนท้องถิ่นที่มักถูกน้ำตัดขาด
ผลประโยชน์ที่ “ควรจะได้” ตามออกแบบ
ลดระยะเวลาและระดับความลึกของน้ำท่วม ในบาง scenario
ถ้าบริหารคลองให้ช่วยตัดยอดน้ำหลากและระบายต่อเนื่อง ระดับน้ำในทุ่งบางส่วนอาจต่ำลงบ้าง หรือท่วมสั้นลง เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีคลอง
โอกาสใช้น้ำชลประทานเพิ่มขึ้นหลังฤดูน้ำหลาก
RID ระบุว่าโครงการจะเพิ่มศักยภาพน้ำเพื่อเกษตรหลายแสนไร่ ผ่านสถานีสูบและท่อเชื่อม 36 จุด ที่ดึงน้ำจากคลองใหม่เข้าไปช่วยพื้นที่เพาะปลูก
ถ้าออกแบบดี มีสิทธิได้โครงสร้างป้องกันเฉพาะจุด
บางหมู่บ้านอาจมีคันป้องกันใหม่ ถนนยกระดับ หรือสถานีสูบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพขึ้น
ผลกระทบและความเสี่ยง (ที่เห็นชัดตอนนี้)
ภาระ “จมน้ำยาว” ยังตกกับพื้นที่นี้เป็นหลัก
ข่าวหลายสำนักสะท้อนว่า บางบาล–เสนา–ผักไห่ ถูกน้ำท่วมยาว 2–3 เดือนขึ้นไป และชาวบ้านมองว่าตนเองกำลังเป็น “ตัวกันน้ำให้ที่อื่น” โดยเฉพาะกรุงเทพฯ
รายได้การเกษตรหาย แต่ค่าชดเชยไม่สมดุล/ล่าช้า
งานสื่อหลายชิ้นตั้งคำถามว่าค่าชดเชยที่รัฐจ่ายเมื่อใช้พื้นที่เป็นแหล่งรับน้ำ “ไม่สัมพันธ์กับความเสียหายจริง” และมีกระบวนการขอรับสิทธิที่ยุ่งยาก
การสั่งเปิด–ปิดประตูน้ำ/การระบายน้ำที่ต้น–ปลาย ไม่ได้มองจากมุมของชาวทุ่งรับน้ำ
นักวิชาการบางท่านวิจารณ์ว่าการบริหารน้ำเน้นผลลัพธ์ที่เมืองหลักและพื้นที่เศรษฐกิจ แต่ปล่อยให้บางบาลฯ ท่วมซ้ำโดยไม่มีเสียงของชาวบ้านร่วมกำหนดเกณฑ์การตัดสินใจ
สรุปโซน B:
ตอนนี้ “หน้าที่” หลักคือรับน้ำเพื่อให้ที่อื่นปลอดภัยกว่าเดิม แต่ผลตอบแทนที่ได้รับยังไม่ชัดเจนว่าคุ้มกับความเสียหายจริง ๆ หรือไม่
→ นี่คือหัวใจของความขัดแย้งเชิงความเป็นธรรม
4. โซน C – แนวคลองและสองฝั่งคลอง (เวนคืน + หลังคันคลอง)
กลุ่มคนหลัก ๆ...
เจ้าของที่ดิน–ชาวบ้านที่โดนเวนคืน (บ้าน–นา–สวน)
ชุมชนที่อยู่ “ชิดคลองด้านในคัน” (ได้กำแพง + ถนนใหม่)
ชุมชนที่อยู่ “หลังคัน” ฝั่งรับน้ำ
ผลประโยชน์
คนที่อยู่ “ในคันคลอง” ได้การป้องกันน้ำหลากเพิ่มขึ้น
คันคลองทำหน้าที่คล้าย levee → ด้านหนึ่งกลายเป็นพื้นที่ป้องกัน (protected side) ถ้าวางระดับสูงกว่าระดับน้ำหลากออกแบบ
มีถนนใหม่บนคันคลอง เชื่อมการเดินทางและระบบขนส่ง ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าที่ดินในระยะยาว
โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ (ถ้าเขตผังเมืองสนับสนุน)
การค้าริมถนนบนคันคลอง
ท่องเที่ยว/ล่องเรือ/กิจกรรม recreation ตามคลอง
จุดบริการขนส่งสินค้าเกษตร
ผลกระทบ
ผู้ถูกเวนคืนโดยตรง
สูญเสียบ้าน–ที่ทำกินที่มีมาเป็นรุ่น ๆ หลายครอบครัวแสดงความกังวลต่อความคุ้มค่าของเงินเวนคืน และการโยกย้ายไปพื้นที่ใหม่
แม้ได้เงินก้อน แต่เสีย “ทุนทางสังคม–วัฒนธรรม” เช่น วัด ชุมชน ญาติพี่น้อง ระบบพึ่งพิงกันเดิม
ผู้ที่อยู่ “หลังคันคลอง” กลายเป็น flood recipient ถาวร
โครงสร้างแบบนี้มักสร้างเส้นแบ่งใหม่ ระหว่างคนที่ได้รับการป้องกัน กับคนที่ “ถูกปล่อยน้ำท่วม”
ถ้าไม่มีมาตรการเสริม เช่น คันป้องกันรอง ระบบชดเชยพิเศษ / ปรับแบบใช้ประโยชน์ที่ดิน → ความเหลื่อมล้ำจะชัดมากขึ้น
ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุด
EIA ระบุผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงการไหลตื้น, การกัดเซาะตลิ่ง, การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ และมลพิษจากการก่อสร้าง (ดินโคลน, เสียง, ฝุ่น) ซึ่งตกกับชุมชนแนวคลองโดยตรง
สรุปโซน C:
คนกลุ่มหนึ่ง “ได้กำแพง + ถนน +โอกาสใหม่”
อีกกลุ่มหนึ่ง “เสียที่อยู่–ที่ทำกิน / ถูกผลักไปอยู่หลังคัน–รับน้ำ”
ตัวคลองจึงเป็นเส้นแบ่งเชิงพื้นที่และเชิงชนชั้นอย่างเงียบ ๆ ถ้าไม่ออกแบบมาตรการประกอบให้ดี
5. โซน D – ท้ายน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง (บางไทร–ปทุม–นนท์–กทม.)
กลุ่มคนหลัก ๆ...
ประชาชนในปทุมธานี–นนทบุรี–กรุงเทพฯ ริมเจ้าพระยา
พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ: นิคมอุตสาหกรรม, ย่านธุรกิจ
หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐาน: การไฟฟ้า, ระบบรถไฟ, ทางด่วน ฯลฯ
ผลประโยชน์
ลดความเสี่ยงน้ำหลากใหญ่หลวงต่อ “เมืองหลวง–พื้นที่เศรษฐกิจ”
คลองช่วยเพิ่มช่องทางระบายน้ำ ทำให้เคลื่อนมวลน้ำผ่านจุดคอขวดอยุธยาไปได้เร็วขึ้นและควบคุมได้มากขึ้น RID ระบุว่าช่วยบรรเทาน้ำท่วมเจ้าพระยาตอนล่างร่วมด้วย
ลดโอกาสเกิดเหตุการณ์แบบน้ำท่วมใหญ่ 2554 ซ้ำเต็มรูปแบบ
ถ้ามองในเชิง macro-economy การลงทุนโครงสร้างนี้ถูกอ้างเหตุผลว่า “ถูกกว่าปล่อยให้นิคม–เมืองใหญ่ท่วมอีกครั้ง”
ผลกระทบ / ประเด็นที่ต้องระวัง
อาจมีการ “ส่งต่อน้ำ” ลงมาท้ายเกินกว่าที่คัน–เขื่อนปัจจุบันรองรับได้
ถ้าเปิดคลองระบายน้ำเต็มศักยภาพ โดยไม่แก้จุดอ่อนของคันริมเจ้าพระยาตอนล่าง → เสี่ยงทำให้จุดอ่อนใหม่โผล่ใน จ.ปทุม–นนท์–กทม.
งานวิจัยเชิงแบบจำลองเตือนว่า diversion canal ต้องจับคู่กับการปรับปรุงระบบ downstream ด้วย ไม่เช่นนั้นอาจ ย้ายปัญหา มากกว่าลดปัญหา
คนในพื้นที่นี้ “ได้ประโยชน์เงียบ ๆ” แต่ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผู้ร่วมแบกรับภาระ
งบลงทุนส่วนใหญ่ใช้เงินรัฐรวม (ภาษีทั่วประเทศ) แต่คนแบกรับน้ำท่วมเป็นหลักอยู่ที่โซน B–C
เกิดภาพ “ต่างจังหวัดจมน้ำเพื่อรักษาเมืองหลวง” ตามที่สื่อบางเจ้าเสนอ
6. โซน E – ต้นน้ำ–ตอนบนเจ้าพระยา
ภาพรวมคือผลกระทบทางตรงจากคลองบางบาล–บางไทรอาจไม่มาก แต่มีผล ทางอ้อม ผ่านการเปลี่ยนรูปแบบบริหารน้ำทั้งระบบ
ผลประโยชน์
ถ้าบริหารดี: เขื่อนตอนบนอาจไม่ต้องระบายน้ำฉับพลันเท่าที่เคย เพราะรู้ว่ามีช่องทาง bypass ช่วยระบายตอนกลาง → อาจลดการแกว่งของระดับน้ำ และลดความเสี่ยงริมเจ้าพระยาตอนบนบ้าง
ผลกระทบ/ความเสี่ยง
ถ้าผิดพลาดในการพยากรณ์ฝนและการเก็บ–ระบายน้ำ (อย่างที่นักวิชาการบางท่านวิจารณ์กรณีปี 2568) → คลองใหม่ก็ช่วยได้จำกัด และภาระน้ำหลากยังตกใส่หลายจังหวัดตอนบนอยู่ดี
7. ดึงภาพรวม: ใคร “ได้–เสีย” อะไร จากมุมมองความเป็นธรรม
ลองสรุปแบบภาษาคนบ้าน ๆ (ผมคนบ้านผักไห่ อยุธยา) ครับ:
เมืองอยุธยา + กรุงเทพฯ + เจ้าพระยาตอนล่าง
→ ได้ “เกราะใหม่” เพิ่มขึ้น มีโอกาสหลบหลีกน้ำหลากใหญ่ในอนาคต
→ เสี่ยงน้อยลง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองต้อง “เสียสละอะไรเพิ่ม” เป็นพิเศษ
ทุ่งรับน้ำ บางบาล–เสนา–ผักไห่–บางไทรนอกคัน
→ ได้ประโยชน์บางส่วน (ถ้าบริหารชลประทานดี)
→ แต่ยังเป็น “ตัวรับน้ำแทนคนอื่น” อย่างเป็นทางการ และอยู่ในสภาพที่ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกว่า
เสียงของเขาไม่ได้ถูกฟังในโต๊ะกำหนดกติกา
ค่าชดเชย–มาตรการเยียวยาไม่คุ้มกับความเสียหายจริง
คนแนวคลอง/ผู้ถูกเวนคืน
→ คนหนึ่งได้ถนน–ได้คันกันน้ำ–ได้ที่ดินติดโครงสร้างใหญ่
→ อีกคนต้องย้ายบ้าน–เสียที่นา–เสีย community base ไป
→ ถ้าไม่มีการออกแบบที่ “เห็นหัวคนแพ้” โครงสร้างใหม่จะกลายเป็นเส้นแบ่งใหม่ทางชนชั้นและโอกาสในพื้นที่
8. นำไปใช้ในบทความ/ข้อเสนอเชิงนโยบายได้อย่างไร
ถ้านักวิชาการจะเขียนบทความ structure–function ของคลองบางบาล–บางไทร ประเด็น “ผลประโยชน์–ผลกระทบในโซนต่าง ๆ” นี้สามารถกลายเป็น Section ว่าด้วย Redistribution of Risk and Benefit ได้เลย เช่น
แบ่งเป็น โซน A–E ตามด้านบน
ทำตาราง/บล็อกข้อความ “ได้อะไร / เสียอะไร / ควรถามอะไรต่อ”
ผูกกับกรอบ just flood management ว่า
ถ้ารัฐต้องการให้พื้นที่หนึ่งทำหน้าที่เป็นทุ่งรับน้ำ เพื่อช่วยทั้งประเทศ
รัฐควร “เขียนสัญญายุติธรรม” กับคนในทุ่ง ไม่ใช่แค่ประกาศฝ่ายเดียว
โฆษณา