เมืองหลวง 3 ประเทศถูกโจมตี ภายในเวลา 48 ชั่วโมง อิสลามาบัต นิวเดลี เเละธากา
จาก ‘นิวเดลี’ ถึง ‘อิสลามาบัด’และ ‘ธากา’
คลื่นความรุนแรงเขย่า 3 เมืองหลวงในเอเชียใต้
สะท้อนภูมิภาค ‘เปราะบางกว่าที่เห็น’
ในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง 3 เมืองหลวงในเอเชียใต้ ทั้งกรุงนิวเดลี อิสลามาบัด และธากา ถูกเขย่าด้วยความรุนแรงต่อเนื่อง จากคาร์บอมใจกลางเมืองหลวงอินเดีย สู่ระเบิดฆ่าตัวตายในปากีสถาน และเหตุเพลิงไหม้–ยิงกันหลายจุดในบังกลาเทศ
แม้สาเหตุของแต่ละเหตุการณ์อาจะไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน แต่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ กลับสะท้อนภาพภูมิภาคที่กำลังเปราะบาง และความไม่มั่นคงที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ชายแดนอีกต่อไป แต่กำลังรุกคืบมาเขย่าถึงกลางเมืองหลวง
ค่ำวันจันทร์ที่ 10 พ.ย. 2568 เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ใกล้ป้อมแดง (Red Fort) แลนด์มาร์กสำคัญกลางกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ต้นตอของระเบิดมาจากรถยนต์ Hyundai i20 ที่กำลังจอดติดไฟแดง เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน และบาดเจ็บเกือบ 20 คน
ต่อมารัฐบาลอินเดียประกาศใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย (UAPA) ทำการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังพบว่าเจ้าของรถมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงในรัฐแคชเมียร์ แม้จนตอนนี้ยังไม่มีฝ่ายใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ แต่ฝ่ายความมั่นคงยังคงให้น้ำหนักกับเรื่อง ‘การก่อการร้าย’ เป็นประเด็นสำคัญ
ผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 11 พ.ย. มีการเปิดเผยมาจากประเทศปากีสถานว่า เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายหน้าศาลแขวง G-11 ในกรุงอิสลามาบัด แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน และบาดเจ็บกว่า 30 คน
เเผนที่สถานที่เกิดเหตุทั้ง 3 ประเทศ
เหตุการณ์นี้กลุ่ม Jamaat-ul-Ahrar ในเครือข่าย Tehrik-i-Taliban Pakistan (TTP) ออกมาอ้างความรับผิดชอบ ขณะที่รัฐบาลปากีสถานประณามว่าเป็น “การก่อการร้ายข้ามพรมแดน” และกล่าวหาว่าอัฟกานิสถานให้ที่พักพิงแก่กลุ่ม TTP ทำให้ความตึงเครียดชายแดนระหว่างสองประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง
และในคืนเดียวกัน ที่กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ เกิดเหตุเพลิงไหม้และยิงกันหลายจุดทั่วเมือง รวมถึงในย่าน Ashulia และ Gazipur รถโดยสารและอาคารบางแห่งได้รับความเสียหาย มีผู้บาดเจ็บหลายราย จนตำรวจต้องประกาศเตือนภัยระดับสูง ‘high alert’ ทั่วกรุงธากา แม้ยังไม่มีใครอ้างความรับผิดชอบ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ตึงเครียด หลังการประท้วงของนักศึกษาและการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง
อินเดียปากีสถานร่องรอยความขัดเเย้ง
[เมื่อความรุนแรงขยับจากชายแดน สู่ใจกลางเมืองหลวง]
แม้ทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ จะไม่มีหลักฐานชี้ถึงความเชื่อมโยงกันโดยตรง แต่สิ่งที่เห็นร่วมกันชัดที่สุด คือ “รูปแบบของความรุนแรง” ที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอินเดียและปากีสถาน จากเดิมที่ความขัดแย้งรุนแรงเคยจำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ชายแดนหรือจังหวัดห่างไกล แต่ในเวลานี้ สถานการณ์รุนแรงเริ่มลามเข้ามาใน ‘เมืองหลวง’ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจและสัญลักษณ์ทางการเมืองของแต่ละประเทศ
สำหรับอินเดีย เหตุระเบิดในกรุงนิวเดลีสะท้อนแรงกดดันเรื้อรังจากปัญหาแคชเมียร์ และภัยคุกคามที่รัฐบาลโมดีพยายามควบคุมด้วยนโยบายความมั่นคงเข้มข้น แต่กลับทำให้กลุ่มหัวรุนแรงบางส่วนยิ่งตอบโต้รุนแรงขึ้น
.
ขณะที่ในปากีสถาน การอ้างความรับผิดชอบของ TTP ตอกย้ำว่า ‘ภัยจากภายใน’ ยังคงเป็นจุดอ่อนของรัฐ แม้รัฐบาลจะพยายามผลักปัญหาไปที่ชายแดนกับอัฟกานิสถานก็ตาม
ส่วนบังกลาเทศ แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าเหตุเพลิงไหม้ในธากาเป็นการก่อการร้าย แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงต่อเนื่องกับสถานการณ์การเมืองภายใน สะท้อนถึง ‘เปลวไฟทางสังคม’ ที่สุมอยู่ใต้น้ำมานาน ความไม่พอใจต่อรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำ และการใช้กำลังกับผู้ประท้วง
ทั้งหมดนี้บ่งชี้ถึงภาพเดียวกันว่า ภูมิภาคเอเชียใต้กำลังเผชิญ ‘ความไม่มั่นคงรูปแบบใหม่’ ไม่ใช่เพียงการปะทะตามแนวชายแดน หรือการก่อเหตุในพื้นที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่เป็นความรุนแรงที่เคลื่อนเข้าสู่หัวใจของเมืองใหญ่ สะท้อนว่ารัฐในภูมิภาคนี้แม้จะ ‘เข้มแข็งในด้านอำนาจ แต่มีความเปราะบางในด้านความมั่นคง’
[แรงสั่นสะเทือนที่ลามไกลกว่าพรมแดน]
เหตุโจมตีและความรุนแรงในเมืองหลวงของทั้ง 3 ประเทศ ไม่ได้เป็นเพียงความท้าทายต่อรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ‘ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง’ ของภูมิภาคเอเชียใต้ พื้นที่ซึ่งกำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญบนแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์โลก
เพราะเอเชียใต้วันนี้ ไม่ได้เป็นแค่ภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกต่อไปแล้ว แต่ยังถูกมองเป็น ‘สะพานเชื่อมทางยุทธศาสตร์’ ระหว่างตะวันออกกลางกับเอเชียตะวันออก ด้วยสถานะเช่นนี้ ทำให้ภูมิภาคนี้ตกอยู่ท่ามกลางอิทธิพลของมหาอำนาจ
ในขณะที่สหรัฐฯ มองอินเดียเป็นพันธมิตรหลักในการถ่วงดุลจีน ปักกิ่งเองก็กำลังใช้ปากีสถานและบังกลาเทศเป็นหัวใจของโครงการ Belt and Road ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ความไม่มั่นคงปะทุในใจกลางภูมิภาค แรงสั่นสะเทือนย่อมกระทบออกไปไกลกว่าพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง
สำหรับ สหรัฐฯ คลื่นความไม่มั่นคงรอบใหม่นี้เกิดขึ้นในช่วงที่วอชิงตันพยายามขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับ อินเดีย และพันธมิตรในกลุ่ม Quad (อินเดีย–สหรัฐฯ–ออสเตรเลีย–ญี่ปุ่น) เพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก
.
แต่เหตุระเบิดกลางกรุงนิวเดลีทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า อินเดียจะยังคงเป็น ‘เสาหลักแห่งเสถียรภาพ’ ที่สหรัฐฯ เชื่อมั่นได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อภัยคุกคามภายในเริ่มสั่นคลอนภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่แข็งแกร่งภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนาเรนทรา โมดี
ในอีกด้านหนึ่ง จีน ซึ่งมีผลประโยชน์โดยตรงในทั้งปากีสถานและบังกลาเทศ โดยเฉพาะในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ก็กำลังจับตาความไม่มั่นคงครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะที่มาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง CPEC (China–Pakistan Economic Corridor) เคยตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีหลายครั้ง และเหตุระเบิดกลางกรุงอิสลามาบัดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ยิ่งตอกย้ำความเสี่ยงของการลงทุนมหาศาลที่ปักกิ่งวางเดิมพันไว้ในภูมิภาคนี้
กลุ่มที่ถูกกล่าวอ้างในการกระทำครั้งนี้
ส่วนบังกลาเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะฐานการผลิตสิ่งทอขนาดใหญ่ของโลก และพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างพยายามสร้างอิทธิพล หากสถานการณ์ภายในประเทศยืดเยื้อ ความไม่มั่นคงย่อมกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญที่ทั้งสามประเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายพร้อมๆ กัน หากแต่นี่อาจกำลังสะท้อนว่า ‘ความเปราะบาง’ ของภูมิภาคเอเชียใต้มีมากกว่าที่เห็น
เพราะในขณะที่แต่ละประเทศต่างใช้ความเข้มแข็งของรัฐและกฎหมายความมั่นคงตอบโต้ภัยคุกคาม แต่ความกลัว ความเหลื่อมล้ำ และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาล กลับกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เสถียรภาพยิ่งสั่นคลอน
คำถามคือ เมื่อคลื่นความไม่มั่นคงครั้งนี้เคลื่อนจากชายแดนเข้าสู่เมืองหลวง ภูมิภาคเอเชียใต้จะยังคงยืนอยู่ในฐานะ ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างมหาอำนาจได้อีกนานแค่ไหน หรือกำลังจะกลายเป็น ‘สมรภูมิใหม่’ อย่างที่พาดหัวเตือนไว้จริง ๆ
เรียบเรียโดยอาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#อินเดีย #ปากีสถาน #นิวเดลี #อิสลามาบัตร #ธากา #บังกลาเทศ #เอเชียใต้
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
