Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
8 ชั่วโมงที่แล้ว • ประวัติศาสตร์
600 กว่าปีก่อน บุตรคนเลี้ยงแกะได้พิชิตและเป็นใหญ่เหนือตุรกีและอินเดีย
สมัยศตวรรษที่ 14 เด็กชายคนหนึ่งนามว่า “ติมูร์ (Timur)” ซึ่งมีความหมายว่า "เหล็ก" ได้ถือกำเนิดในเดือนเมษายน ค.ศ.1336 (พ.ศ.1879) ณ หมู่บ้านทางใต้ของ “ซามาร์คันด์ (Samarkand)” ซึ่งคือประเทศอุซเบกิสถานในปัจจุบัน
อันที่จริง ติมูร์ไม่ได้ยากจนมากอย่างที่เรื่องเล่าบางเรื่องกล่าวอ้าง เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี โดยครอบครัวของเขาเป็นชนชั้นปกครองขนาดกลางๆ โดยบิดาของเขาชื่อ ”ทารากัย (Taraghai)“ เป็นหัวหน้าเผ่าบาร์ลาส (Barlas)
ชาวบาร์ลาส เป็นกลุ่มชนมองโกลที่ได้รับอิทธิพลจากชาวเติร์ก และเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ ยังชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ เช่น แกะ แพะ ม้า และอูฐ
ติมูร์ (Timur)
ทารากัยไม่ใช่คนเลี้ยงแกะที่ยากจน แต่ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำ ชีวิตของเขาก็เป็นชีวิตของคนเลี้ยงสัตว์ หน้าที่ของเขาคือการดูแลปศุสัตว์ ย้ายที่ตั้งค่ายตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง การเฝ้าฝูงสัตว์ และการดูแลทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ความอยู่รอดและความมั่งคั่งของครอบครัวล้วนขึ้นอยู่กับสัตว์เหล่านี้
ดังนั้น การเรียกติมูร์ว่า "บุตรคนเลี้ยงแกะ" จึงถูกต้องแล้ว เขาเติบโตขึ้นในสังคมที่ทุกคน ทั้งผู้นำและสมาชิกเผ่า ต่างดำเนินชีวิตแบบคนเลี้ยงแกะ โดย “เตกินา คาทูน (Tekina Khatun)” มารดาของติมูร์ เป็นผู้ปลูกฝังให้ติมูร์เดินในเส้นทางศาสนา
ติมูร์เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีความสนใจในคัมภีร์อัลกุรอานมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และมีความรู้ด้านการขี่ม้า รวมถึงเคยฝึกฝนการรบมาอีกด้วย
ติมูร์ถูกเลี้ยงดูมาในวัฒนธรรมแบบเร่ร่อนและแบบเมือง โดยในวัยหนุ่ม เขาเคยเป็นผู้นำกองโจรบุกปล้นสัตว์เลี้ยง และการบุกปล้นครั้งหนึ่งก็เกือบทำให้เขาเสียชีวิต
ติมูร์ถูกยิงด้วยลูกธนูสองดอกเมื่อคราวบุกขโมยแกะเมื่อราวปีค.ศ.1363 (พ.ศ.1906) โดยดอกหนึ่งยิงเข้าที่ขาขวาของเขา และอีกดอกยิงเข้าที่มือขวา ทำให้เขาสูญเสียนิ้วไปสองนิ้ว
ความพิการนี้ส่งผลให้เขาต้องเดินกะเผลก และจากอาการบาดเจ็บนี้ เขาจึงได้รับฉายาเป็นภาษาเปอร์เซียว่า “ติมูร์-อี ลัง (Timur-i Lang)” หรือ “ติมูร์คนขาพิการ (Timur the Lame)” ซึ่งต่อมาชาวยุโรปได้นำไปบิดเบือนจนกลายเป็น “ทาเมอร์เลน (Tamerlane)”
1
อย่างไรก็ตาม ความพิการทางร่างกายนี้ไม่ได้ขัดขวางเส้นทางของเขา แต่กลับทำให้เขามุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม
ติมูร์ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำกองทัพภายใต้รัฐข่านชากาทัย (Chagatai Khanate) แต่ก็ได้ก่อกบฏอย่างรวดเร็ว
ในปีค.ศ.1366 (พ.ศ.1906) ติมูร์ได้สร้างพันธมิตรที่สำคัญกับผู้นำท้องถิ่นที่แข็งแกร่งคนหนึ่งนามว่า “อามีร ฮุสเซน (Amir Husayn)” โดยเขาได้แต่งงานกับน้องสาวของฮุสเซน หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าครอบครองภูมิภาคทรานส์ออกเซียนา (Transoxiana)
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรนี้ได้จบลงเนื่องจากฮุสเซนเรียกเก็บภาษีมากเกินไปและมีความทะเยอทะยานอย่างร้ายกาจ ดังนั้น ในปีค.ศ.1370 (พ.ศ.1913) ติมูร์ได้บุกโจมตีฮุสเซนที่เมืองบัลค์ (Balkh) และเมื่อยึดเมืองได้และประหารชีวิตฮุสเซน ติมูร์ก็ได้แต่งงานกับ “ซาราย มุลค์ คานุม (Saray Mulk Khanum)” ภรรยาม่ายของฮุสเซน และเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของ “เจงกิส ข่าน (Genghis Khan)” ประมุขผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิมองโกล
ติมูร์ได้รับตำแหน่ง “กูร์กัน (Gurgan)” หรือ “บุตรเขยแห่งข่าน” จากการแต่งงานนี้ และนี่เป็นที่มาของความชอบธรรมในการปกครองของติมูร์
เนื่องจากติมูร์ไม่ได้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเจงกิสข่าน เขาจึงไม่สามารถใช้ตำแหน่ง “ข่าน (Khan)” ได้ ดังนั้น เขาจึงใช้ตำแหน่ง "อามีร (Amir)" หรือ “ผู้บัญชาการ” และปกครองผ่านหุ่นเชิดที่เป็นข่านแห่งชากาทัย แต่คนที่ครองอำนาจจริงคือติมูร์เอง
เมื่ออายุได้ราว 34 ปี ติมูร์ได้ขึ้นเป็นประมุข และได้แต่งตั้งให้ซามาร์คันด์เป็นเมืองหลวง
กลยุทธ์ทางทหารของติมูร์ จะเน้นที่กองทหารม้าที่มีความคล่องตัวสูงและการใช้สงครามจิตวิทยาเป็นหลัก โดยติมูร์มีชื่อเสียงในเรื่องความโหดร้ายต่อผู้ที่ต่อต้าน
เมืองที่ยอมจำนนมักจะได้รับความเมตตา ในขณะที่เมืองที่ขัดขืนไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตามจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ
ติมูร์มักจะให้ทหารสร้างภูเขาจำลองที่ทำมาจากกะโหลกศีรษะของเหยื่อ ซึ่งเป็นวิธีข่มขวัญศัตรู ทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้
ในช่วง 20 ปีต่อมา ติมูร์ได้พิชิตเปอร์เซียและเอาชนะโกลเดนฮอร์ด (Golden Horde) ที่ยิ่งใหญ่ในรัสเซีย ก่อนจะพิชิตมัมลุกส์ (Mamluks) ในซีเรีย และค่อยๆ สร้างจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
ติมูร์นั้นเป็นทั้งรัฐบุรุษและขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากรวมอำนาจการปกครองแล้ว เขาได้ปรับโครงสร้างการบริหารของทรานส์ออกเซียนาใหม่ ได้เปิดการค้า และเริ่มเปลี่ยนซามาร์คันด์ให้เป็นเมืองแห่งความงามและอำนาจ
มีการเชิญช่างฝีมือ สถาปนิก และนักวิชาการให้ย้ายมาอยู่ที่นั่น รวมถึงเชลยจำนวนมากอีกด้วย ซามาร์คันด์จึงพัฒนากลายเป็นเมืองที่รุ่งโรจน์ ผสมผสานระเบียบวินัยแบบมองโกลเข้ากับความประณีตแบบเปอร์เซีย
ในปีค.ศ.1383 (พ.ศ.1926) ติมูร์ได้เริ่มพิชิตเปอร์เซีย แต่เมืองเฮรัตก็ไม่ยอมแพ้ ติมูร์จึงทำลายเมืองนั้นจนราบคาบ
อีกเมืองหนึ่งคืออิสฟาฮาน ซึ่งเดิมยอมจำนน แต่ต่อมาได้ก่อกบฏ
ติมูร์จึงกลับมาและสังหารผู้คนหลายหมื่นคน ก่อนจะสร้างหอคอย 28 แห่งจากกะโหลกศีรษะของศัตรู
ค.ศ.1393 (พ.ศ.1936) ติมูร์สามารถพิชิตเปอร์เซียทั้งหมดได้สำเร็จ
จากนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นทางเหนือ นั่นคือผู้นำคนหนึ่งที่ติมูร์เคยช่วยเหลือให้ขึ้นมามีอำนาจ คือชายนามว่า “ทอคทามิช (Tokhtamysh)” แต่ตอนนี้กลับไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู
ติมูร์ได้ทำสงครามใหญ่สองครั้งกับทอคทามิช และในปีค.ศ.1395 (พ.ศ.1938) ก็เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่แม่น้ำเทเรก
หลังจากนั้น ติมูร์ได้ทำลายเมืองต่างๆ ของทอคทามิชทีละเมือง ได้รับชัยชนะและทำลายเมืองหลักต่างๆ ในโกลเดนฮอร์ด ทำให้โกลเดนฮอร์ดล่มสลายลงอย่างถาวร
จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ได้พ่ายแพ้ต่อบุตรชายคนเลี้ยงแกะในที่สุด
ทอคทามิช (Tokhtamysh)
หลังจากที่ติมูร์พิชิตดินแดนทางตะวันตกและทางเหนือแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ “อินเดีย”
ในปีค.ศ.1398 (พ.ศ.1941) ติมูร์ได้บุกโจมตีรัฐสุลต่านเดลี (Delhi Sultanate) โดยมีข้ออ้างว่า “สุลต่านมะห์มูด ชาห์ที่ 2 (Mahmud Shah II)” พระประมุขแห่งเดลี ทรงเอาใจชาวฮินดูมากเกินไป
แต่ความจริงนั้น อินเดียมีความมั่งคั่งแต่มีรัฐบาลอ่อนแอ ง่ายต่อการยึดครอง ติมูร์อยากได้อยู่แล้ว จึงได้รวบรวมกองทัพจำนวน 90,000 นาย ยกทัพข้ามแม่น้ำสินธุ และเริ่มทำการโจมตี
กองทัพของติมูร์ได้เผาทำลายเมืองแล้วเมืองเล่า และใครก็ตามที่ต่อต้าน ล้วนแต่ถูกสังหารสิ้น
แต่กองทัพของติมูร์ก็ต้องประสบปัญหาในขณะมุ่งหน้าสู่เดลี นั่นก็เพราะกองทัพของติมูร์มีเชลยศึกถึง 100,000 คน และติมูร์ก็กลัวว่าเชลยเหล่านี้จะหันมาต่อต้านเขาในการรบครั้งใหญ่ในอนาคต
วิธีแก้ปัญหาของติมูร์นั้นโหดร้าย โดยตามบันทึกของติมูร์เอง ในฐานะผู้บัญชาการ เขาได้ออกคำสั่งให้สังหารเชลยทั้งหมด และว่ากันว่าทหารของเขาสังหารผู้คนกว่า 100,000 คนในวันเดียว (อันนี้ไม่แน่ใจว่าเวอร์เกินไปหรือเปล่านะครับ 100,000 คนในวันเดียว)
1
ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1398 (พ.ศ.1941) กองทัพของติมูร์ได้เผชิญหน้ากับสุลต่านแห่งเดลี โดยฝ่ายท่านสุลต่านมีอาวุธที่น่าเกรงขาม นั่นคือช้างศึกจำนวน 120 เชือก และทหารของติมูร์ก็ไม่เคยเห็นช้างศึกมาก่อน จึงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แต่ติมูร์ก็มีแผน เขาให้ขุดหลุมไว้ด้านหน้ากองทัพ จากนั้นก็บรรทุกอูฐด้วยมัดไม้และฟาง ก่อนจะให้ทหารจุดไฟเผามัดเหล่านั้นบนหลังอูฐเมื่อช้างศึกพุ่งเข้าใส่
อูฐที่ถูกไฟไหม้ก็จะส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งพุ่งเข้าชนด้านหน้าของช้างศึก ทำให้ช้างศึกตกใจ หันหลังกลับและหนีเข้าสู่ค่ายของฝ่ายตนเอง เหยียบย่ำทหารของฝ่ายสุลต่านแห่งเดลี จากนั้น ติมูร์จึงส่งกองทหารม้าเข้าโจมตี ทำให้กองทัพเดลีพ่ายแพ้ และท่านสุลต่านต้องเสด็จหนีไปตอนกลางคืน
ในวันที่ 18 ธันวาคม ติมูร์ได้เข้าสู่เดลี ซึ่งในตอนแรก เมืองก็สงบเรียบร้อย แต่ในเวลาต่อมา ชาวเดลีได้ลุกขึ้นต่อต้านติมูร์
ติมูร์แก้ปัญหาด้วยการปล่อยกองทัพของตนเข้าสู่เมือง และให้ทหารทำการสังหาร ปล้นสะดม และจุดไฟเผาเมืองเป็นเวลาหลายวัน มีการเผาทั้งมัสยิด วัด และพระราชวัง
ศพของผู้คนที่เสียชีวิตเกลื่อนอยู่ตามท้องถนน ผู้เสียชีวิตมีจำนวนหลายหมื่นคน
กองทัพของติมูร์ออกไปจากเมืองในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1398 (พ.ศ.1941) และเดลีก็กลายเป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยควัน ความอดอยากและโรคระบาดก็แพร่กระจายในหมู่ผู้รอดชีวิต
เมืองนี้ต้องใช้เวลากว่า 15 ปีจึงจะมีระบอบการปกครองที่มั่นคงอีกครั้ง และใช้เวลากว่าร้อยปีกว่าเมืองจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ราชวงศ์ตุกห์ลุกก็เสื่อมอำนาจลงอย่างมาก
แต่แม้ว่าติมูร์จะได้รับชัยชนะในการรบ แต่เขาก็ไม่มีแผนที่จะปกครองอินเดีย การถอยทัพจึงเป็นก้าวที่เหมาะสมและสมเหตุสมผล โดยมีเหตุผลต่างๆ ดังนี้
ประการแรก จุดประสงค์ของติมูร์ไม่ใช่การสร้างอาณาจักรในอนุทวีป แต่เป็นการปล้นสะดม สิ่งที่ติมูร์ต้องการคือคลังสมบัติกับแรงงานจากเดลีที่จะมอบความมั่งคั่งมหาศาลให้เขา
ประการที่สอง การควบคุมดินแดนขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากฐานทัพของเขาในซามาร์คันด์ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้จริง
1
ประการที่สาม ติมูร์สนใจเรื่องที่ใหญ่กว่าทางตะวันตก และเขาต้องกลับไปจัดการกับอำนาจอื่นๆ
ติมูร์ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางการเมืองของอินเดียเหนือ โดยก่อนที่จะจากไป ติมูร์ได้แต่งตั้ง “คิซร์ ข่าน (Khizr Khan)” อดีตข้ารับใช้ของราชวงศ์ตุกห์ลุกและผู้ว่าการเมืองมุลตาน ให้รับผิดชอบปกครองดินแดนดังกล่าว
คิซร์ ข่านมีความจงรักภักดีต่อติมูร์มาก และสามารถยึดเมืองเดลีได้ในปีค.ศ.1414 (พ.ศ.1957) และเป็นผู้ก่อตั้ง “ราชวงศ์ไซยิด (Sayyid dynasty)” ซึ่งปกครองในฐานะตัวแทนของติมูร์
ในปีค.ศ.1399 (พ.ศ.1942) ติมูร์ได้เดินทางกลับมายังซามาร์คันด์พร้อมด้วยทรัพย์สินที่ปล้นมาได้และเชลยที่มีความสามารถจำนวนมาก
แต่ติมูร์ก็ไม่ได้หยุดพัก เขาได้วางแผนสำหรับสงครามครั้งต่อไปทันที คราวนี้เขาหันไปเผชิญหน้ากับ “รัฐสุลต่านออตโตมัน (Ottoman Sultanate)” โดยสุลต่านออตโตมันคือ “สุลต่านบาเยซิดที่ 1 (Bayezid I)”
สุลต่ายบาเยซิดที่ 1 ทรงมีพระสมัญญานามหรือฉายาว่า “สายฟ้าแลบ” เนื่องจากความรวดเร็วฉับไวของกองทหารของพระองค์ และสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็ได้ยึดครองดินแดนที่ติมูร์ต้องการ และกษัตริย์ทั้งสององค์ต่างก็เขียนจดหมายที่ดุดันถึงกัน โต้ตอบกันไปมาอย่างเผ็ดร้อน
สงครามกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
สุลต่านบาเยซิดที่ 1 (Bayezid I)
แต่ก่อนที่จะทำสงคราม ติมูร์ต้องจัดการกับความวุ่นวายในซีเรียก่อน
ติมูร์ได้บุกยึด “รัฐสุลต่านมัมลุก (Mamluk Sultanate)” ที่ปกครองอยู่ และได้ทำลายเมืองใหญ่อย่างเมืองอเลปโปจนพังพินาศ และสร้างหอคอยกะโหลกศีรษะ 20,000 หัวไว้นอกเมือง
จากนั้น ติมูร์ก็เข้ายึดดามัสกัส และนำคนงานฝีมือดีทั้งหมดในเมืองกลับไปยังซามาร์คันด์
ในปีค.ศ.1402 (พ.ศ.1945) ติมูร์หันมาเผชิญหน้ากับสุลต่านบาเยซิดที่ 1 โดยติมูร์ได้รวบรวมกองทัพขนาดใหญ่ และใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด
สุลต่านบาเยซิดที่ 1 กำลังเดินทัพท่ามกลางความร้อนระอุของฤดูร้อนผ่านตุรกี ทหารต่างอ่อนล้าและกระหายน้ำจากการเดินทางยาวนาน
ติมูร์ได้เคลื่อนทัพเป็นแนวโค้งกว้างไปด้านหลังสุลต่านบาเยซิดที่ 1 และพุ่งไปข้างหน้ายังอังการา แทนที่จะเดินตามเส้นทางของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 โดยตรง
ติมูร์เข้ายึดเมืองอังการาได้ก่อน โดยเขาไปถึงก่อนสุลต่านบาเยซิดที่ 1 และเข้ายึดครองจุดที่ชาวออตโตมันเคยยึดไว้ก่อนหน้า
ที่สำคัญที่สุดคือ ติมูร์ได้ควบคุมแหล่งน้ำทั้งหมด ทำให้ทหารของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 อยู่ในสภาพที่ยากลำบากเมื่อยกทัพมาถึง
ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1402 (พ.ศ.1945) สุลต่านบาเยซิดที่ 1 ก็เสด็จมาถึงพร้อมกับกองทัพที่เหนื่อยล้าและกระหายน้ำ เหล่าแม่ทัพได้ทูลแนะนำให้ตั้งรับในตำแหน่งป้องกันบนภูเขาและบีบให้ติมูร์ต้องติดตามพวกเขามาท่ามกลางอากาศร้อน แต่สุลต่านบาเยซิดที่ 1 กลับเลือกที่จะโจมตี
ที่แย่กว่านั้นคือ ติมูร์ได้เปลี่ยนทางของลำธารชูบุก ทำให้กองทัพออตโตมันขาดน้ำ
การรบครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นที่เนินเขาคาตาลที่มองเห็นหุบเขาชูบุก โดยสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ประทับอยู่ตรงกลางพร้อมกับกองทหาร
การรบเริ่มขึ้นประมาณ 10 โมงเช้า ทหารม้าชาวเซอร์เบียได้ทำการจู่โจม แต่ก็ถูกโจมตีอย่างหนักโดยพลธนูติดม้าและทหารม้าของติมูร์
และแล้ว ชาวออตโตมันก็ประสบกับหายนะ ทหารม้าทาทาร์ที่เพิ่งพ่ายแพ้ในกองหน้าก็หนีตามกันไปและทิ้งกองทัพ อีกทั้งทหารม้าของเบย์ลิก เติร์กในอนาโตเลียที่เพิ่งถูกพิชิตก็หนีตามไปด้วย
การทิ้งกองทัพครั้งใหญ่นี้ทำให้กองทัพของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 อ่อนแอ กำลังลดลงถึง 1 ใน 4 แทบจะตัดสินผลแพ้ชนะได้เลย
ทหารราบออตโตมันหลายพันคนถูกสังหาร และทหารอนาโตเลียอีกหลายพันคนก็เปลี่ยนข้างไปเข้าร่วมกับเบย์ลิกที่ต่อสู้เพื่อติมูร์
ติมูร์เองก็ต่อสู้เหมือนทหารทั่วไปและเกือบถูกจับหรือถูกสังหาร แต่สุดท้าย กองทัพออตโตมันก็ล้มเหลวและพ่ายแพ้
สุลต่านบาเยซิดที่ 1 ทรงพยายามเสด็จหนีไปยังภูเขาที่อยู่ติดกันพร้อมกับทหารม้ากลุ่มเล็กๆ แต่ติมูร์ได้ล้อมภูเขาไว้แล้วและจับตัวได้ในไม่ช้า
สุลต่านบาเยซิดที่ 1 กลายเป็นสุลต่านออตโตมันเพียงองค์เดียวที่ถูกจับและกักขังโดยศัตรู ก่อนจะสวรรคตในเวลาต่อมาขณะถูกคุมขัง
เมื่อชนะศึก ติมูร์ก็ไม่ได้ผนวกดินแดนของออตโตมันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน แต่กลับแบ่งแยกอาณาจักรสุลต่านออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้อาณาจักรสุลต่านออตโตมันอ่อนแอและแตกแยกในที่สุด
อินเดียและรัฐสุลต่านออตโตมันได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมากจากการรุกรานของติมูร์
ความเสียหายในอินเดียกินเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษ รัฐสุลต่านเดลีไม่สามารถกลับมามีอำนาจแข็งแกร่งได้อีก ดินแดนได้แตกออกเป็นรัฐเล็กๆ เมืองเดลีก็เกือบจะรกร้าง อาคารและไร่นาถูกทำลาย ต้องใช้เวลานานกว่าภูมิภาคนี้จะฟื้นตัว
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ในขณะที่อินเดียต้องทนทุกข์ทรมาน เมืองหลวงของติมูร์กลับมั่งคั่ง
ติมูร์ได้พาคนงานที่มีทักษะและความสามารถหลายพันคนจากอินเดียไปยังซามาร์คันด์ ซึ่งเมืองของติมูร์ก็ได้ถูกสร้างและปรับปรุงให้สวยงามด้วยฝีมือของศิลปินและช่างก่อสร้างเหล่านี้
แต่กรณีของรัฐสุลต่านออตโตมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความพ่ายแพ้ของพวกเขานำไปสู่สงครามกลางเมืองในรัฐสุลต่าน ซึ่งบรรดาพระราชโอรสของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 ทรงต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ
นี่เป็นโอกาสดีสำหรับยุโรปที่จะเอาชนะพวกออตโตมัน แต่ประเทศในยุโรปก็ไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ได้ทำงานร่วมกัน และในที่สุด พระราชโอรสองค์หนึ่งของสุลต่านบาเยซิดที่ 1 นั่นคือ “สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 1 (Mehmed I)“ ก็ได้รับชัยชนะหลังจากผ่านสงครามกลางเมืองที่ยาวนานกว่า 11 ปี โดยได้มีการรวมรัฐสุลต่านให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 1 (Mehmed I)
ชาวออตโตมันสามารถกลับมาควบคุมดินแดนที่เสียไปทั้งหมดได้ทีละน้อย ได้รับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ถึงแม้ว่าจะผ่านมาเพียง 50 ปีหลังจากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ก็ตาม
ในปีค.ศ.1453 (พ.ศ.1996) ฝ่ายออตโตมันได้บุกพิชิตเมืองคอนสแตนติโนเปิล ทำให้ออตโตมันกลายเป็นจักรวรรดิที่ทรงอำนาจที่สุดในภูมิภาค
ในเวลาต่อมา ติมูร์นั้นแก่แล้ว เขามีอายุเกือบ 70 ปี และไม่สามารถเดินได้
แต่ติมูร์ก็ยังไม่พร้อมที่จะหยุดพัก เขาได้วางแผนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการพิชิต “จีน”
ในปีค.ศ.1395 (พ.ศ.1938) ราชวงศ์หมิงได้ส่งทูตมายังซามาร์คันด์ แต่จดหมายจาก “จักรพรรดิหงอู่ (Hongwu Emperor)” ได้ปฏิบัติต่อติมูร์ราวกับเป็นข้ารับใช้ของราชสำนักจีน ทำให้ติมูร์พิโรธหนัก
จักรพรรดิหงอู่ (Hongwu Emperor)
ติมูร์ได้รวบรวมกองทัพขนาดมหึมาถึง 200,000 นาย พร้อมบุกจีน
ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ.1405 (พ.ศ.1948) ติมูร์ถูกหามออกจากซามาร์คันด์บนเปลหาม เขาอ่อนแอเกินกว่าจะเดินหรือแม้แต่ขี่ม้าได้ และเริ่มเดินทัพไปยังจีน
สภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวนั้นโหดร้าย สุขภาพของติมูร์ที่อ่อนแออยู่แล้วจากการสู้รบหลายปีก็ทรุดโทรมลงไปอีก โดยทัพของติมูร์มาถึงเมืองโอทรา
ที่เมืองโอทรา ติมูร์ได้ป่วยหนัก และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1405 (พ.ศ.1948) ติมูร์ก็ได้จากโลกนี้ไป
การยกทัพครั้งยิ่งใหญ่ไปยังประเทศจีนจึงสิ้นสุดลงก่อนกำหนด
จักรวรรดิของติมูร์ได้ล่มสลายลงในไม่ช้าหลังจากการจากไปของติมูร์
เหล่าลูกหลานของติมูร์ได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ทำให้จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของติมูร์เสื่อมลง และดำรงอยู่ได้เพียงไม่นาน
แต่เรื่องราวของติมูร์ยังมีจุดพลิกผันที่ไม่คาดคิดอีกเรื่อง นั่นคืออีกกว่าหนึ่งศตวรรษต่อมา ผู้สืบเชื้อสายคนหนึ่งของติมูร์ที่มีนามว่า “บาบูร์ (Babur)” ได้พยายามเดินตามรอยความสำเร็จของติมูร์
บาบูร์ (Babur)
บาบูร์คือหนึ่งในสายเลือด คือลูกหลานของติมูร์ โดยบาบูร์ได้พยายามรักษาทรัพย์สินของตระกูลไว้ในเอเชียกลางแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจบุกไปทางใต้ มุ่งไปยังอินเดีย
1
ในปีค.ศ.1526 (พ.ศ.2069) บาบูร์ได้พิชิตสุลต่านแห่งเดลี และได้ก่อตั้ง “จักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire)“ ซึ่งปกครองอินเดียเป็นเวลากว่า 300 ปี
จักรวรรดิโมกุลได้ทำให้เกิดยุคทองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม และ “ทัชมาฮาล (Taj Mahal)” อันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของอินเดีย ก็ถูกสร้างขึ้นในยุคโมกุล
ทัชมาฮาล (Taj Mahal)
นี่คือเรื่องราวของบุตรชายคนเลี้ยงแกะชาวอุซเบกที่ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้
บุตรชายคนเลี้ยงแกะผู้นี้ได้ทำลายจักรวรรดิหนึ่งในอินเดีย และสายเลือดของเขา ก็ได้สร้างจักรวรรดิอีกแห่งขึ้นในดินแดนเดียวกัน
ชื่อของเด็กชายขาพิการจากตระกูลคนเลี้ยงแกะ “ติมูร์ (Timur)” ย่อมจะถูกจดจำไปอีกหลายศตวรรษแน่นอน
References:
https://medium.com/making-history-fun/627-years-ago-a-shepherds-son-conquered-turkey-and-india-4dd25f880f21
https://www.britannica.com/biography/Timur
https://www.asianstudies.org/publications/eaa/archives/amir-timur-paragon-of-medieval-statecraft-or-central-asian-psychopath/
https://www.worldhistory.org/Timur/
ประวัติศาสตร์
12 บันทึก
17
1
7
12
17
1
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย