19 พ.ย. เวลา 17:47 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

GPT-5.1 มาแล้ว: เมื่อ OpenAI รับฟังเสียงผู้ใช้ และทำให้ AI ‘ฉลาดและเข้าใจเรา’ ยิ่งกว่าเดิม

วันที่ OpenAI เปิดตัว GPT-5 ในเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นก้าวสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่ รุ่นที่ฉลาดขึ้น คิดเป็นระบบมากขึ้น และเข้าใกล้คำว่า AGI มากกว่าเดิม แต่ทันทีที่ผู้ใช้เริ่มย้ายจาก GPT-4o และ GPT-4.1 มาใช้ GPT-5 จริงๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้มีแค่คำว่า “ว้าว” อย่างที่หลายคนหวัง
ใช่ GPT-5 ฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในงานด้านเหตุผล การแก้ปัญหาหลายชั้น และการจัดระเบียบความคิดเชิงตรรกะ แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้ใช้จำนวนมากกลับรู้สึกว่าบทสนทนากับ ChatGPT เริ่ม “ไม่เหมือนเดิม” คำตอบมีความเป็นทางการมากขึ้น แข็งขึ้น และขาดความละเอียดอ่อนบางอย่างที่ทำให้ GPT-4o กลายเป็นโมเดลที่มีคนรักมากที่สุดรุ่นหนึ่งของ OpenAI
บน Reddit และ X มีบทสนทนานับพันกระทู้ที่ตั้งคำถามในทำนองเดียวกันว่า “ทำไม GPT-5 เก่งขึ้น แต่รู้สึกห่างเหินขึ้น” มีผู้ใช้คนหนึ่งเขียนประโยคที่ถูกแชร์ซ้ำหลายครั้งว่า
“การที่ 4o หายไปเหมือนผมเสียเพื่อนไปคนหนึ่ง”
ข้อความสั้นๆ นี้สะท้อนความจริงสำคัญของยุค AI ปัจจุบัน นั่นคือ ผู้ใช้ไม่ได้มอง AI เป็นแค่เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ ช่วยเขียนโค้ด หรือช่วยสรุปงาน แต่เริ่มมองมันเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ใช้คุยเรื่องงาน ความคิด และบางครั้งคือเรื่องส่วนตัวที่ไม่เคยเล่ากับใคร
เมื่อ GPT-5 เข้ามาแทนที่ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือน “นักวิเคราะห์” ที่เก่งมากแต่พูดแข็ง ขาดความอบอุ่นที่เคยสัมผัสได้ ผู้ใช้จำนวนหนึ่งจึงรู้สึกว่า OpenAI อาจประเมินค่าความสำคัญของ “ความเป็นมนุษย์” ใน GPT-4o ต่ำเกินไป
แรงสะท้อนจากผู้ใช้ดังจนทีมพัฒนา ChatGPT ต้องออกมายอมรับว่า พวกเขาได้เรียนรู้ว่าประสบการณ์ของผู้ใช้มีความสำคัญพอๆ กับความสามารถเชิงเทคนิคของโมเดล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดใหม่ที่นำไปสู่การออกแบบ GPT-5.1
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2025 OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 แบบไม่ทันให้คนได้ลุ้นนาน แม้ชื่อจะดูเหมือนการอัปเดตย่อย แต่สำหรับใครที่ได้ลองใช้งานจริง จะสัมผัสได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขด้านหลังที่เพิ่มจุดหนึ่ง แต่เป็นการปรับสมดุลครั้งสำคัญระหว่าง “ความฉลาด” และ “ความรู้สึก”
GPT-5.1 จึงไม่ใช่แค่รุ่นต่อจาก GPT-5 แต่เป็นคำตอบของคำถามที่ผู้ใช้ทั้งโลกส่งไปหา OpenAI ว่า “เราต้องการ AI ที่ไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องเข้าใจเราไปพร้อมกันด้วย”
GPT 5.1 คืออะไร และมันเข้ามาแก้เกมให้ OpenAI อย่างไร?
หากมองจากภายนอก GPT-5.1 คือรุ่นถัดจาก GPT-5 ที่เปิดให้ใช้งานใน ChatGPT และผ่าน API สำหรับนักพัฒนา โดยมีราคาและข้อจำกัดการใช้งานใกล้เคียงกัน แต่ถ้ามองจากมุมมองเชิงระบบ GPT 5.1 ถูกออกแบบให้เป็น “จุดแก้สมดุล” ของยุค GPT-5 อย่างแท้จริง
ในเชิงผลิตภัณฑ์ GPT-5.1 ถูกวางให้เป็นโมเดลหลักสำหรับ ChatGPT ทั้งบนเว็บและแอป รวมถึงเป็นแกนหลักของ personal AI ที่ OpenAI กำลังผลักดัน ผู้ใช้ทั่วไปสัมผัสได้ผ่านประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นขึ้น สนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น และตอบสนองตามความต้องการได้แม่นยำขึ้น ขณะที่นักพัฒนาจะเห็นมันในฐานะโมเดลที่มีความคุ้มค่าทั้งด้านความสามารถและต้นทุนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ความตั้งใจของ OpenAI มีอยู่สองแกนสำคัญ
หนึ่ง คือไม่ทิ้งสิ่งที่ GPT-5 ทำได้ดีมากอยู่แล้ว นั่นคือ reasoning ระดับสูง การแก้ปัญหาแบบมีขั้นตอน และความสามารถในงานโค้ดระดับ production
สอง คือดึงจุดแข็งของ GPT-4o กลับมา นั่นคือความเป็นธรรมชาติ ความอบอุ่น และการสนทนาที่สอดคล้องกับอารมณ์และบริบทของมนุษย์
GPT-5.1 จึงไม่ใช่การ “เดินหน้าไปสุดทางของความฉลาด” แต่เป็นการหันกลับมาถามคำถามที่สำคัญกว่า
ถ้า AI จะอยู่กับเราในทุกมิติของงานและชีวิต มันต้องฉลาดแบบไหน ต้องเข้าใจเราในระดับไหน และต้องทำงานร่วมกับเราอย่างไรจึงจะไม่รู้สึกว่าเป็นเพียงเครื่องจักรที่ตอบเก่งแต่ไม่เคยเข้าใจความต้องการและความรู้สึกที่แท้จริง
เมื่อ OpenAI ออกแบบ “วิธีคิด” ใหม่มากกว่าจะเพิ่มขนาดโมเดล
จุดเปลี่ยนสำคัญของ GPT-5.1 ไม่ได้อยู่ที่จำนวนพารามิเตอร์ที่มากขึ้น หรือสถาปัตยกรรมโมเดลที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่อยู่ที่วิธีที่โมเดล “เลือกใช้ความคิดของตัวเอง” ให้เหมาะกับงานที่ได้รับ นี่คือหัวใจของสิ่งที่ OpenAI เรียกว่า "adaptive reasoning"
แนวคิดพื้นฐานมีอยู่ว่า ไม่ใช่ทุกคำถามที่ต้องใช้พลังความคิดเต็มกำลัง บางคำถามต้องการเพียงการสรุปข้อมูลตรงไปตรงมา บางงานต้องการเพียงการช่วยจัดโครงสร้างเนื้อหา ในขณะที่บางโจทย์ เช่น วางสถาปัตยกรรมระบบ วางแผนธุรกิจ หรือแก้บั๊กซับซ้อน อาจต้องใช้ reasoning หลายขั้นและการตรวจสอบตัวเองหลายรอบ
ในแง่การใช้งานจริง GPT-5.1 ถูกแบ่งออกเป็น 2 โหมด
  • GPT-5.1 Instant ใช้สำหรับงานเร็ว งานตอบทันที งานที่ไม่ต้องวิเคราะห์หลายขั้นตอน เน้นความรวดเร็วและความกระชับ
  • GPT-5.1 Thinking ใช้สำหรับงาน reasoning ลึก งานที่ต้องการการวางแผนหลายขั้นตอน งานวิเคราะห์และการคำนวณที่ซับซ้อน หรืองานที่ต้องระบุเหตุผลประกอบอย่างละเอียด
เบื้องหลัง OpenAI ใช้ระบบเลือกเส้นทางอัตโนมัติ( Auto Router) เพื่อส่งคำถามไปยังโหมดที่เหมาะสมที่สุด โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้มานั่งเลือกเองทุกครั้ง สิ่งที่สำคัญคือ GPT -5.1 ไม่ได้ “สลับตัวตน” ไปมาแบบรู้สึกได้ชัดเหมือนในยุค GPT-5 แต่พยายามทำให้การเปลี่ยนระดับการคิดเกิดขึ้นในบุคลิกเดียวกัน
ผลลัพธ์คือผู้ใช้จะรู้สึกว่า GPT-5.1 มีบุคลิกที่เสถียรกว่า เปลี่ยนน้ำเสียงน้อยลง และใช้เวลาตอบเหมาะกับระดับความยากของงานมากขึ้น ทั้งงานง่ายและงานยากได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบมากกว่าเดิม
อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือการออกแบบ “บุคลิก” ของโมเดล GPT-5.1 มาพร้อมระบบ personality styles ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกโทนการตอบ 8 แบบ ได้แก่
  • Default มีความสมดุลเป็นกลาง ใช้ได้กับแทบทุกสถานการณ์
  • Friendly เป็นมิตร อบอุ่น เหมาะกับงานที่ต้องการความนุ่มนวล
  • Efficient กระชับ ตรงประเด็น เน้นประหยัดเวลา
  • Professional สุภาพ เป็นทางการ เหมาะกับงานเอกสารและธุรกิจ
  • Candid ตรงไปตรงมา ชี้ข้อดีข้อเสียอย่างเปิดเผย
  • Quirky มีอารมณ์ขัน เล่นสนุกเล็กน้อย เหมาะกับงานสร้างสรรค์
  • Cynical แฝงมุมมองวิจารณ์นิดๆ ใช้ในการเขียนเชิงเสียดสีหรืองานเฉพาะทาง
  • Nerdy ลงลึกเชิงเทคนิค อ้างอิงความรู้แบบไม่กลัวเยอะ
บุคลิกของ GPT-5.1 ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้
บุคลิกเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแค่โทนภาษา แต่สะท้อนรูปแบบการจัดลำดับเนื้อหา ระดับความลึกของคำตอบ และวิธีอธิบายความคิดของโมเดล ทำให้ผู้ใช้สามารถจูน GPT -5.1 ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้ทำให้ GPT-5.1 ดูไม่ใช่แค่ “เก่งขึ้น” แต่สามารถปรับตัวเข้าหาเราได้มากขึ้นอีกด้วย
Benchmark จาก OpenAI เผยความสามารถของโมเดล
เพื่อตอบคำถามว่าความฉลาดของ GPT-5.1 แตกต่างจาก GPT-5 แค่ไหน OpenAI เผยผล benchmark หลายชุดที่ใช้วัดทั้งด้านโค้ด ความรู้ เหตุผล และความเข้าใจบริบท โดยเมื่อดูภาพรวมจะเห็นชัดว่า GPT-5.1 ไม่ได้ชนะทุกเกณฑ์การประเมินแบบเบ็ดเสร็จ แต่โดดเด่นในงานที่สะท้อน “ความคิดเชิงระบบ” และ “การใช้โมเดลให้เป็นประโยชน์กับงานจริง” มากขึ้น
Benchmark ของ GPT-5.1 เปรียบเทียบกับ GPT-5
ใน SWE bench Verified ซึ่งเป็นชุดทดสอบการแก้โค้ดจากโปรเจกต์จริง GPT-5.1 ทำคะแนนได้ประมาณ 76 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่า GPT-5 ที่อยู่ราว 73 เปอร์เซ็นต์ การเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่คะแนนในสนามนี้มีความหมายมาก เพราะทุกเปอร์เซ็นต์สะท้อนจำนวนโจทย์ที่โมเดลสามารถแก้ได้แบบใช้งานได้จริงในโลกของการสร้างซอฟต์แวร์
ใน GPQA Diamond ซึ่งเป็นการวัดความสามารถ reasoning ระดับสูง GPT-5.1 แซง GPT-5 ขึ้นไปอีกขั้น แสดงให้เห็นถึงการคิดเป็นลำดับขั้นที่มีความนิ่งมากขึ้น ขณะที่ใน AIME 2025 ซึ่งเป็นความรู้คณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก คะแนนของ GPT-5.1 ต่ำกว่า GPT-5 เล็กน้อย แต่ก็ยังสูสีกัน
ใน MMMU ซึ่งวัดความเข้าใจหลายสาขาวิชา GPT-5.1 ทำคะแนนเหนือ GPT-5 เล็กน้อย สอดคล้องกับการออกแบบที่ไม่ได้เปลี่ยนสถาปัตยกรรมมัลติโหมดทั้งหมด แต่ปรับวิธีใช้ความรู้และบริบทให้มีความเป็นระบบมากขึ้น
ในชุดทดสอบเฉพาะโดเมนอย่าง Tau Bench ซึ่งประเมินประสิทธิภาพของโมเดลในสถานการณ์จำลองที่ซับซ้อนและใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริง โดยเน้นที่การโต้ตอบระหว่าง Tool (เครื่องมือ), Agent (เอเจนต์), และ User (ผู้ใช้งาน) GPT 5.1 ทำผลงานได้ดี แสดงถึงความสามารถที่ต้องใช้ในการวางแผน การคำนวณ และเหตุผลเชิงระบบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตัวเลขเหล่านี้บอกได้ไม่หมดคือ “ประสบการณ์ในการใช้จริง” รู้สึกได้ชัดว่า GPT-5.1 ตอบลื่นกว่า ใช้คำตอบน้อยโทเค็นกว่าในงานง่าย ทำให้รอไม่นาน คิดลึกกว่าเดิมในงานยาก และสามารถทำความเข้าใจในคำตอบได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องปวดหัวกับคำศัพท์ทางเทคนิคที่เข้าใจยาก ผู้ใช้งาน ChatGPT คงจะถูกใจกับ GPT-5.1 แน่นอน
ผล Benchmark จาก ArtificialAnalysis.ai
ถ้า benchmark ของ OpenAI เป็นมุมมองจากผู้สร้างโมเดล ArtificialAnalysis คือมุมมองจากนักวิเคราะห์ภายนอกที่พยายามตอบคำถามว่า โมเดลแต่ละตัว “ยืนอยู่ตรงไหน” ในแง่ความสมดุลระหว่างสามด้านหลักคือ ความฉลาดทั่วไป งานโค้ด และความสามารถเชิง agent
ArtificialAnalysis ใช้ดัชนีหลักสามตัว ได้แก่
  • Intelligence Index วัดความสามารถในการ reasoning และการแก้ปัญหาทั่วไป
  • Coding Index วัดประสิทธิภาพในการเขียน แก้ และเข้าใจโค้ด
  • Agentic Index วัดความสามารถในการทำงานเชิงอัตโนมัติ เรียกใช้เครื่องมือ และทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอน
ผลการทดสอบในด้าน Intelligence, Coding, Agentic โดย ArtificialAnalysis.ai
เมื่อดูกราฟทั้งสามตัวในช่วงปลายปี 2025 จะเห็นว่า GPT-5.1 อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นอย่างชัดเจน เพราะไม่ได้เป็นเพียงโมเดลที่เก่งด้านใดด้านหนึ่ง แต่ทำคะแนนได้สูงและสมดุลทั้งสาม Benchmark
Intelligence Index แสดงให้เห็นว่า GPT-5.1 มีความสม่ำเสมอในการ reasoning สูง สามารถตีโจทย์ที่ไม่ตรงไปตรงมาได้ดี Coding Index ชี้ให้เห็นว่ามันเข้าใจโครงสร้าง codebase และทำงานซ่อม ปรับ หรือรีแฟกเตอร์ได้ในระดับที่พร้อมใช้ในงานจริง ขณะที่ Agentic Index สะท้อนว่า GPT-5.1 เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการสร้าง workflow อัตโนมัติ หรือ agent ที่ต้องวางแผนและลงมือทำเป็นชุดคำสั่งต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสนใจคือหลายโมเดลมักเก่งด้านใดด้านหนึ่งแล้วอ่อนอีกด้าน เช่น โมเดลที่ reasoning สูงแต่โค้ดไม่เก่ง หรือโมเดลที่โค้ดเก่งแต่ไม่ถนัดการวางแผนหลายขั้นตอน แต่ GPT-5.1 กลับทำคะแนนได้ดีพร้อมกันทั้งสามด้าน จึงถูกมองว่าเป็นโมเดลที่ “เอาไปต่อยอดอะไรได้อีกเยอะ” โดยเฉพาะในมือของนักพัฒนาที่อยากสร้างระบบอัตโนมัติที่ทำงานได้จริง
ARC Prize กับบททดสอบที่โหดที่สุด และสิ่งที่ GPT-5.1 พิสูจน์ให้เห็น
ถ้าตัวเลขจาก OpenAI และ ArtificialAnalysis ทำให้เราเห็นภาพว่า GPT-5.1 ฉลาดขึ้นและสมดุลขึ้น ARC Prize คือเวทีที่ถามคำถามที่ลึกกว่านั้น ว่าโมเดลนี้ฉลาดขึ้นอย่างไรในมิติที่ใกล้เคียงกับคำว่า AGI และคุ้มค่ากับทรัพยากรที่ใช้หรือไม่
ARC หรือ Abstraction and Reasoning Corpus คือชุดโจทย์ที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบความสามารถในการคิดเชิงนามธรรม การค้นพบกฎ และการแก้ปัญหาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต่างจากการทำข้อสอบที่อาศัยความจำหรือข้อมูลที่เคยเจอในการฝึก โมเดลจะต้องมองเห็นรูปแบบที่ซ่อนอยู่ คาดเดากฎที่เป็นไปได้ และใช้กฎนั้นสร้างคำตอบใหม่ด้วยตัวเอง
ARC Prize คือการแข่งขันและกรอบประเมินที่ถูกต่อยอดจากชุดโจทย์นี้ เพื่อดูว่าโมเดลต่าง ๆ สามารถเข้าใกล้ความสามารถเชิง AGI ได้มากแค่ไหน ในการประเมินแบ่งออกเป็นสองระดับหลัก คือ ARC AGI-1 และ ARC AGI-2 โดย
  • ARC AGI-1 เน้นวัดความสามารถ abstraction ระดับที่มนุษย์ทั่วไปยังพอมีโอกาสทำได้
  • ARC AGI-2 ถูกออกแบบให้ยากขึ้นอีกหลายระดับ ใกล้กับการวัดศักยภาพเชิง AGI มากกว่า ขนาดที่มนุษย์จำนวนมากยังทำได้เพียงบางส่วน
กราฟจาก ARC Prize แสดงคะแนนบนแกนตั้ง เทียบกับต้นทุนต่อหนึ่งคำตอบบนแกนนอน ทำให้เราไม่ได้เห็นเพียงว่าโมเดลเก่งแค่ไหน แต่ยังเห็นด้วยว่าเก่งแค่ไหนต่อหนึ่งหน่วยต้นทุนที่ต้องใช้
ARC-AGI-1 Leaderboard
ใน ARC-AGI-1 GPT 5.1 Thinking High ทำคะแนนได้ 72.83% ที่ต้นทุนเพียง $0.67 / task สูงกว่ารุ่น GPT 5 ในโหมด reasoning สูง โดยยังรักษาต้นทุนต่อโจทย์ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงรุ่นก่อนหน้า
ARC-AGI-2 Leaderboard
ใน ARC-AGI-2 ซึ่งมีความยากสูงขึ้น GPT 5.1 Thinking High ทำคะแนนได้17.64% ที่ต้นทุน $1.17 / task ซึ่งแม้จะดูไม่สูงนักในมุมมองตัวเลข แต่ในบริบทของ ARC ที่หลายโจทย์ยากเกินมนุษย์ทั่วไป คะแนนระดับนี้ถือว่าโดดเด่น และที่สำคัญคือยังคงอยู่ในจุดสมดุลระหว่างคะแนนกับค่าใช้จ่ายต่อคำตอบที่ยอมรับได้ในโลกการใช้งานจริง
เมื่อมองภาพรวม ARC Prize จึงไม่เพียงยืนยันว่า GPT-5.1 ฉลาดขึ้น แต่บอกเราด้วยว่าโมเดลนี้ “ฉลาดอย่างคุ้มค่า” มากขึ้นด้วย ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างคะแนนและต้นทุนทำให้ GPT-5.1 ไม่ได้เป็นแค่โมเดลที่ดีสำหรับงานวิจัย แต่เป็นโมเดลที่มีความเหมาะสมสำหรับโลกการใช้งานจริง ที่ต้นทุนและประสิทธิภาพต้องเดินคู่กันไปตลอด
แนวทางการใช้ GPT-5.1 ให้เก่งขึ้นด้วยการออกแบบ Prompt ให้ถูกวิธี
เมื่อเข้าใจแล้วว่า GPT-5.1 ฉลาดขึ้นทั้งในมุมของผู้สร้าง, นักวิเคราะห์ภายนอก และการประเมินแบบ ARC คำถามต่อมาคือ ในฐานะผู้ใช้หรือผู้พัฒนา เราจะดึงศักยภาพของโมเดลตัวนี้ออกมาให้ได้มากที่สุดได้อย่างไร
OpenAI ได้เผยแพร่เอกสาร GPT-5.1 Prompting Guide เพื่อเป็นคู่มือและแนวทางในการทำให้ GPT-5.1 ทำงานได้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่คู่มือนี้บอกเราชัดเจนมากคือ ศักยภาพของ GPT-5.1 ไม่ได้ขึ้นกับโมเดลอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ “ภาษาที่เราใช้สั่งงาน”ด้วย โดยมีอยู่ประมาณ 4 เรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้ GPT-5.1 ทำงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นผล
1. กำหนดบทบาทและบุคลิกของโมเดลให้ชัดตั้งแต่ต้น
GPT-5.1 ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อคำอธิบายบทบาทได้ดีเป็นพิเศษ หากเราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการระบุให้ชัดว่าอยากให้มันทำตัวเป็นใคร ทำงานในฐานะอะไร และมีน้ำเสียงแบบไหน โมเดลจะรักษาแนวทางนั้นได้สม่ำเสมอกว่าเดิมมาก
2. บอกหน้าตาคำตอบที่ต้องการให้ชัด เพื่อลดเวลาปรับแก้
จุดแข็งของ GPT-5.1 อย่างหนึ่งคือมันเชื่อฟังรูปแบบผลลัพธ์ได้ดี ถ้าเรากำหนดตั้งแต่ต้นว่าต้องการคำตอบแบบไหน โมเดลจะจัดให้ตามนั้นแทบจะทันที โดยไม่ต้องสั่งซ้ำหลายรอบ
3. ใช้แนวคิดให้โมเดล “ทำงานให้จบเป็นงาน” ไม่ใช่แค่คิดให้เสร็จ
ในเอกสาร Prompting Guide มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือการให้โมเดลมีความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา หรือที่อาจเรียกได้ว่า solution persistence แทนที่โมเดลจะหยุดที่การวิเคราะห์หรือเสนอไอเดียเพียงอย่างเดียว เราสามารถสั่งให้มันลงมือจัดระเบียบงานให้เสร็จเป็นขั้นเป็นตอนในคำตอบเดียว
4. เลือกโหมด reasoning ให้เหมาะกับงาน ไม่จำเป็นต้องคิดลึกตลอดเวลา
GPT-5.1 เปิดโอกาสให้เลือกโหมด reasoning ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งโหมดที่ใช้การคิดเชิงลึก และโหมดที่ลดการ reasoning เพื่อเพิ่มความเร็วสำหรับงานง่าย ๆ การออกแบบกระบวนการทำงานที่ดีจึงควรแยกให้ชัดว่า งานไหนควรให้โมเดลคิดลึก และงานไหนควรให้ตอบสั้นและเร็ว
บทสรุป GPT-5.1: สะพานเชื่อมระหว่าง “ความฉลาดของโมเดล AI” และ “ความรู้สึกของคน”
เมื่อมองภาพรวมตั้งแต่ GPT-4o ไปจนถึง GPT-5 และ GPT-5.1 จะเห็นเส้นทางการพัฒนาที่ชัดเจนว่า OpenAI ไม่ได้เดินบนเส้นของ “ความฉลาดอย่างเดียว” อีกต่อไป แต่เริ่มเดินบนเส้นของ “สมดุลระหว่างความฉลาด ประสบการณ์ผู้ใช้ และต้นทุนการใช้งานจริง”
GPT-5 ทำให้เราเห็นว่าระบบ AI สามารถคิดเป็นระบบมากขึ้น แก้ปัญหายากขึ้น และเข้าใกล้บทบาทนักวิเคราะห์มืออาชีพได้เพียงใด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นข้อเท็จจริงว่า หากขาดความเป็นธรรมชาติและความละเอียดอ่อนในการสื่อสาร ผู้ใช้จำนวนมากอาจรู้สึกว่าตนกำลังสนทนากับเครื่องจักร มากกว่าที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง
GPT-5.1 เข้ามาในจังหวะที่สำคัญพอดี เพื่อพิสูจน์ว่าเราสามารถมี AI ที่ทั้งคิดลึกและคุยเป็นธรรมชาติได้ในโมเดลเดียวกัน โดยอาศัยการออกแบบวิธีคิดใหม่ ระบบ adaptive reasoning บุคลิกการสื่อสารที่ยืดหยุ่น และแนวทางการเขียนคำสั่งที่ช่วยดึงศักยภาพของโมเดลออกมาได้เต็มที่
ในส่วนประสบการณ์การใช้งาน GPT-5.1 ทำให้บทสนทนากับ ChatGPT กลับมามีความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้ใช้สามารถเลือกบุคลิกที่เข้ากับตัวเอง ปรับโทนให้เหมาะกับบริบท และออกแบบให้โมเดลทำงานต่อเนื่องเป็นขั้นเป็นตอนแทนการตอบแบบครั้งต่อครั้ง
ท้ายที่สุด GPT-5.1 อาจไม่ใช่จุดจบของการพัฒนา AI แต่มันคือหมุดหมายสำคัญที่บอกเราว่า อนาคตของ AI จะไม่ได้วัดกันเพียงว่าใครมีโมเดลที่ใหญ่กว่า หรือทำคะแนน benchmark ได้สูงกว่า แต่จะวัดกันที่ว่า AI ตัวนั้นเข้าใจมนุษย์ได้ลึกแค่ไหน ทำงานร่วมกับเราได้ดีเพียงใด และช่วยให้เราคิด ทำ และเติบโตไปข้างหน้าได้พร้อมกันมากน้อยแค่ไหน
จากตรงนี้ไป ไม่ว่า OpenAI จะเดินหน้าต่อด้วย GPT-5.2 หรือรุ่นถัดไป เส้นทางก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์แบบตรงไปตรงมา แต่มาเป็นหุ้นส่วนที่ช่วยขยายขอบเขตความสามารถของเรา และ GPT 5.1 ก็คือหนึ่งในก้าวที่ทำให้ภาพนั้นใกล้ความจริงมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
Reference Source
4. GPT-5.1 Prompting Guide (OpenAI Cookbook)
5. Intelligence, Coding, Agentic Benchmark Dashboard
7. ARC-AGI Leaderboard
9. Axios: GPT-5.1 Gets “Smarter, Warmer”
โฆษณา