เมื่อวาน เวลา 06:33 • สิ่งแวดล้อม
เขื่อนเจ้าพระยา

💙 EP1/6 — ปีที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถูกทดสอบพร้อมกัน ทุกองค์ประกอบของระบบ

ปี 2568 คือปีที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเผชิญ “การทดสอบเต็มระบบ” พร้อมกันแบบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก
ทั้งเขื่อนบน
ฝนกลางลุ่มน้ำ
น้ำท่วมเมืองล่าง
พื้นที่รับน้ำดั้งเดิม
และโครงสร้างเมืองใหญ่—อยุธยา ปทุม นนทบุรี กทม.
และเมื่อเรานำกราฟทุกชุดมาวางเรียงกัน เราจะเห็นความจริงเพียงข้อเดียวที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ คือ…
เขื่อนช่วย — แต่เขื่อนอย่างเดียวไม่พอ
เพราะฝน–พายุ–พื้นที่ลุ่มต่ำ–คลองสาขา–เมือง–polder และพื้นที่รับน้ำ
ทั้งหมดกำลังเปลี่ยนไปพร้อมกันภายใต้ climate extreme
เราจึงต้องมี
โครงสร้างล่างเสริม
retarding basin
zoning ใหม่ระดับลุ่มน้ำ
data real-time
แผนที่กำหนด “พื้นที่รับน้ำ” ที่ชัดเจน
เพื่อให้ระบบลุ่มน้ำทั้งระบบทำงานร่วมกันได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม
จากตรงนี้ ผมชวนเพื่อน ๆ ดู Timeline แบบใหม่
ที่เชื่อมโยง “พายุทั้ง 6 ลูก” กับ “พฤติกรรมของระบบลุ่มน้ำ”
เพื่อให้เข้าใจชัดว่า ทำไมปีนี้สถานการณ์ถึงหนัก และทำไมโครงสร้างล่างต้องเกิดจริง
🌪️ TIMELINE แบบใหม่ — เมื่อพายุทั้ง 6 ลูก ทำให้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเข้าสู่ “ภาวะทดสอบเต็มระบบ”
นี่คือเส้นเหตุ–ผลที่ต่อเนื่องกันตลอด 4 เดือน
ผมเขียนให้เป็นช่วงสั้น ๆ แต่คมชัดครับ
(1) 14 – 22 ก.ค. : พายุ “วิภา” เปิดเกม — ดินอุ้มน้ำเต็ม ทำให้ระบบเข้าสู่โหมด “พร้อมรับน้ำหนัก”
ลูกนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ตกกระจายบริเวณต้นน้ำปิง–น่าน
ผลต่อระบบ:
ดินอุ้มน้ำ 30–60% → Side-flow ลูกถัดไปเพิ่มเร็วขึ้น
เขื่อนเริ่มเติมน้ำก้อนแรก
เจ้าพระยายังปกติ แต่ระบบเริ่มสะสมความชุ่มน้ำ
นี่คือ “ตัวปูพื้น” ที่ทำให้ลูกถัดๆ มาส่งผลหนักขึ้น
(2) 19 – 27 ส.ค. : พายุ “คาจิก” เติมน้ำก้อนใหญ่ทั้ง 2 เขื่อนบน
เส้นทางพายุผ่านเหนือ–ล่างของน่านและปิงโดยตรง
ทำให้น้ำก้อนใหญ่ก้อนแรก (8,000–9,000 ล้าน ลบ.ม.) เข้าอ่างภูมิพล–สิริกิติ์
ผลต่อระบบ:
เขื่อนเริ่มบริหารเชิงรุก ต้องทยอยระบายเพื่อกันพื้นที่ว่าง
คลองสาขาล่างเริ่มรับน้ำเพิ่ม
ดินลุ่มน้ำกลางเริ่มอิ่มตัวทั่วทั้งลุ่มน้ำ
นี่เป็นจุดเริ่ม “น้ำเข้าทั้งระบบพร้อมกัน”
(3) 27 ส.ค. – 2 ก.ย. : พายุ “หนองฟ้า” ซ้ำพื้นที่เดิม → ทำให้เขื่อนต้องเริ่มระบายตามเกณฑ์
ลูกนี้ตกตามรอยคาจิกแทบจะตรงเป๊ะ
จึงเกิด “Double Storm Impact”
ผลต่อระบบ:
อ่าง 2 เขื่อนหลักเข้าสู่ 70–80%
ระบบต้องระบายล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย
กราฟน้ำท้ายเขื่อนเริ่มเห็นลักษณะเป็น “จังหวะควบคุม”
ตรงนี้แหละที่ประชาชนบางส่วนเริ่ม “เข้าใจผิดว่าเขื่อนปล่อยน้ำท่วม”
ทั้งที่ในความจริงคือตามเกณฑ์ Dam Safety 100%
(4) 23 – 25 ก.ย. : พายุ “รากาซา” โถมก้อนใหญ่เข้าสู่แม่ปิง → เขื่อนภูมิพลรับเต็ม ๆ
นี่คือลูกที่ ชนเต็มพื้นที่ต้นน้ำภูมิพล
ปริมาณน้ำเข้าอ่างพุ่งขึ้นรอบใหญ่จนใกล้แตะกราฟสีเหลือง
ผลต่อระบบ:
น้ำไหลเข้าอ่างมากที่สุดรอบปี
ถ้าไม่ระบายล่วงหน้า เขื่อนจะเข้าโซนแดงภายใน 7–10 วัน
ลุ่มน้ำล่างเริ่มเห็นผลกระทบแบบ “กว้าง” มากขึ้น
(5) 25 – 30 ก.ย. : พายุ “บัวลอย” ตามหลังแบบต่อเนื่อง → น้ำเข้าอ่างครบทั้ง 4 เขื่อนพร้อมกัน
ลูกนี้คือตัวเร่ง Cumulative Effect
เพราะตกซ้ำพื้นที่เดิม ทำให้ทุกอ่างเข้าใกล้ 90–95%
ผลต่อระบบ:
ลุ่มน้ำเข้าสู่ภาวะ “น้ำเข้ามากกว่าสามารถระบายออกได้”
ปริมาณไหลเข้าและไหลออกเริ่มต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
คลองสาขาตอนล่างเริ่มรับน้ำมากกว่าความสามารถของตลิ่ง
นี่คือจุดที่ระบบเริ่ม “ตึงตัวทั้งลุ่มน้ำ”
(6) 7 – 9 พ.ย. : พายุ “คัลแม๊ก” ปลายฤดู → 75% ของน้ำที่ท่วมล่างมาจากฝน ไม่ใช่เขื่อน
พายุปลายฤดูลูกนี้ตกหนักตอนล่างของลุ่มน้ำ
ไม่ผ่านอ่าง
ไม่ผ่านเขื่อน
ไม่มีโครงสร้างควบคุม
จึงเกิด Side-flow ขนาดใหญ่สุดของปี — 75% ของน้ำล้นเจ้าพระยา
ผลต่อระบบ:
เมืองล่างเสียเปรียบเพราะน้ำมาจากทุกทิศ
พื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำเกินกำลัง
การระบายผ่านประตูน้ำหลายแห่งเกิด non-linear drop
เกิด “น้ำกดน้ำ” ที่ปทุม–นนทบุรี–กทม.
นี่คือช่วงที่ประชาชนรู้สึกว่าระบบ “แพ้น้ำ” แต่แท้จริงคือแพ้ ฝนล่าง + โครงสร้างล่างไม่ทัน
🟦 บทสรุป EP1/6
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปี 2568 = ปีที่ระบบทั้งหมดถูกทดสอบพร้อมกัน
เพราะพายุ 6 ลูกเข้าต่อเนื่องในเส้นทางที่ “ตรงกับ”
พื้นที่ต้นน้ำของเขื่อน
พื้นที่กลางลุ่มน้ำ
และพื้นที่ลุ่มต่ำปลายลุ่มน้ำ
จากกราฟทั้งหมด เราเห็นชัดว่า:
เขื่อนช่วย ตัด peak, แบ่งจังหวะน้ำ และป้องกันเหตุฉุกเฉิน
แต่ เขื่อนอย่างเดียวไม่พอ เพราะ 75% ของน้ำท่วมล่างมาจากฝนที่ไม่มีโครงสร้างรองรับ
เราจึงต้องออกแบบระบบใหม่ที่ประกอบด้วย
✔ โครงสร้างล่างเสริม
✔ retarding basin
✔ แผน zoning ใหม่ระดับลุ่มน้ำ
✔ data real-time
✔ แผนที่พื้นที่รับน้ำที่ชัดเจน
✔ การฟื้น floodplain ที่จำเป็นต่อระบบทั้งหมด
หากเรามองระบบทั้งหมดพร้อมกัน จะเห็น “โมเดลลุ่มน้ำใหม่” ที่มั่นคงกว่าเดิม และรับมือ climate extreme ได้จริงครับ
โฆษณา