2 ชั่วโมงที่แล้ว • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ดำมืดของ “อาวุธนิวเคลียร์” ที่ตะวันตกพยายามจะลืม

เรื่องของ “อาวุธนิวเคลียร์” เป็นประเด็นที่หลายคนหยิบยกมาพูดถึงอยู่เรื่อยๆ
ระเบิดลูกเดียวกันนี้นำมาซึ่งความมั่นคงสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ก็ได้นำมาซึ่งความโหดร้ายทารุณสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน
ในฐานะมหาอำนาจนิวเคลียร์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ต่างผงาดขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ มีการทดสอบนิวเคลียร์ของตนในดินแดนห่างไกล
พวกเขาไม่ต้องการสร้างมลพิษหรืออันตรายในดินแดนของตนเอง แต่กลับเปลี่ยนอาณานิคมและดินแดนในอำนาจที่อยู่ห่างไกลให้กลายเป็นห้องปฏิบัติการแห่งการทำลายล้าง
ตั้งแต่หมู่เกาะปะการังของหมู่เกาะมาร์แชลล์ ไปจนถึงทะเลทรายในออสเตรเลีย และลากูนสีฟ้าครามของเฟรนช์โปลินีเซีย ยุคนิวเคลียร์ได้เผยตัวในฐานะอาณานิคมรูปแบบใหม่
สำหรับมหาอำนาจเหล่านี้ มหาสมุทรแปซิฟิกไม่ใช่ภูมิภาคที่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่มันคือห้องปฏิบัติการอันกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างไกล และผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือหลายทศวรรษของกัมมันตรังสี การพลัดถิ่น และการปฏิเสธความรับผิดชอบ และผลกระทบของกัมมันตรังสีก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
“หมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands)“ ตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกาไปประมาณ 6,000 ไมล์หรือประมาณเกือบ 10,000 กิโลเมตร
สหรัฐอเมริกาได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ถึง 67 ครั้งในช่วงระหว่างปีค.ศ.1946-1958 (พ.ศ.2489-2501) ที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนในอำนาจของสหประชาชาติที่บริหารโดยสหรัฐอเมริกา โดยมีกำลังระเบิดที่ใช้ในการทดลองรวมกันเทียบเท่ากับระเบิดที่ฮิโรชิม่าจำนวน 1.6 ลูกในทุกๆ วันเป็นระยะเวลา 12 ปีเต็ม
หมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands)
การทดสอบระเบิดได้เปลี่ยนเกาะปะการังสองแห่ง ได้แก่ บิกินี และ เอนิวีตัก ให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า
ต้นมะพร้าวที่อุดมสมบูรณ์และลากูนปะการังได้กลายเป็นไอระเหยจากเมฆรูปดอกเห็ดที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่า 40 กิโลเมตร)
ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1954 (พ.ศ.2497) สหรัฐอเมริกาได้จุดระเบิด “แคสเซิลบราโว (Castle Bravo)” ซึ่งเป็นระเบิดไฮโดรเจนขนาด 15 เมกะตัน มีอานุภาพมากกว่าระเบิดที่ทิ้งลงฮิโรชิม่าถึงกว่า 1,000 เท่า
แรงระเบิดนั้นรุนแรงมากจนทำให้บางส่วนของเกาะกลายเป็นไอ และทิ้งหลุมอุกกาบาตไว้กว้างถึงหนึ่งไมล์ (ประมาณ 1.6 กิโลเมตร) และการระเบิดนี้ก็มีการคำนวณผิดพลาด โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าปฏิกิริยาของระเบิดจะสร้างความเสียหายเพียงห้าเมกะตัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นสามเท่าของที่คาดการณ์ไว้
ฝุ่นกัมมันตรังสีได้แพร่กระจายไปไกลเกินกว่าเขตที่กำหนดไว้ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเกาะใกล้เคียง ได้แก่ รงเกแลป รงเกอริก และอูติริก ได้รับผลกระทบจากขี้เถ้ากัมมันตรังสีที่มีลักษณะคล้ายหิมะ โดยเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องก็เอาขี้เถ้าอันตรายเหล่านี้มาเล่น
ภายในไม่กี่ชั่วโมง ชาวบ้านและเด็กๆ ก็เริ่มอาเจียนและมีอาการผิวหนังไหม้อย่างรุนแรง และภายในไม่กี่วัน ผมของพวกเขาก็ร่วงหลุด
ในทีแรก สหรัฐอเมริกาได้ปฏิเสธว่าชาวบ้านไม่มีการสัมผัสกับฝุ่นกัมมันตรังสี แต่เอกสารซึ่งถูกนำมาเปิดเผยในเวลาต่อมา ได้ระบุว่ารัฐบาลได้ดำเนินการ “โครงการ 4.1 (Project 4.1)” อย่างลับๆ ซึ่งเป็นโครงการศึกษาทางการแพทย์เกี่ยวกับผลกระทบของกัมมันตรังสีต่อมนุษย์ และก็ไม่ได้ขอความยินยอมจากชาวมาร์แชลล์เลย
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งได้ยอมรับในภายหลังว่า
“เรามีข้อมูลที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการสัมผัสรังสีเท่าที่เคยมีมาในโลก เพราะเราใช้คนจริงๆ เป็นกลุ่มตัวอย่าง“
ผมขออนุญาตลงคลิปการทดลองแคสเซิลบราโวให้ดูนะครับ
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) สหรัฐอเมริกาได้สร้างโดมคอนกรีตขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “โดมรูนิต (Runit Dome)” เพื่อกักเก็บซากกัมมันตรังสีจากการทดสอบหลายสิบครั้ง
โดมดังกล่าวได้ผนึกกากกัมมันตรังสีปริมาณ 85,000 ลูกบาศก์เมตรไว้ภายในหลุมอุกกาบาตที่ไม่ได้มีการรองพื้นอย่างดี และโดมนี้ก็ไม่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้ต้านทานการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอย่างเหมาะสมเลย
ปัจจุบันมีรอยแตกเกิดขึ้นทั่วพื้นผิวของโดม และปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนก็กำลังซัดเข้าใส่ฐาน เสี่ยงต่อการปล่อยสารอันตรายที่บรรจุอยู่ภายในลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
โดมรูนิต (Runit Dome)
เจ้าหน้าที่แถบนั้นเรียกมันว่า "โครงสร้างที่อันตรายที่สุดในแปซิฟิก" และจากการศึกษาของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.2020 (พ.ศ.2563) พบว่าพลูโทเนียม-239 ซึ่งเป็นไอโซโทปที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง มีครึ่งชีวิตยาวนานถึง 24,110 ปี ยังคงรั่วไหลเข้าสู่พื้นที่โดยรอบ โดยชาวมาร์แชลล์เรียกพื้นที่นี้สั้นๆ ว่า "สุสาน“
ประธานาธิบดี “ฮิลดา เฮน (Hilda Heine)” แห่งหมู่เกาะมาร์แชลล์ ได้กล่าวว่า
"เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมา แต่เราจะต้องอยู่และตายไปพร้อมกับผลที่ตามมาของมัน"
ฮิลดา เฮน (Hilda Heine)
ในปีค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) สหรัฐอเมริกาได้ลงนามใน “ความตกลงว่าด้วยความสัมพันธ์เสรี (Compact of Free Association)” กับหมู่เกาะมาร์แชลล์ โดยเสนอเงินชดเชยในวงจำกัด
แต่รายงานของศาลเรียกร้องค่าสินไหมนิวเคลียร์ (Nuclear Claims Tribunal) ในปีค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) ได้สรุปว่า เงินเหล่านั้นไม่เพียงพอ และหลายครอบครัวก็ได้รับเงินน้อยกว่า 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 162,000 บาท) แลกกับการสูญเสียบ้านเกิด
จนถึงทุกวันนี้ ชาวบิกินีมากกว่า 40% ยังคงประสบกับโรคมะเร็งไทรอยด์หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรังสี และคนรุ่นหลังที่เกิดมา ก็ยังคงมีรอยแผลเป็นทางพันธุกรรมจากกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนในพื้นที่และพันธุกรรม
ผมขอลงคลิปวีดีโอการทดสอบระเบิดที่บิกินีนะครับ
มาที่ฝั่งอังกฤษบ้าง ในช่วงต้นยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) สหราชอาณาจักรก็มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรักษาสถานะของตนในฐานะมหาอำนาจระดับโลก และการจะทำเช่นนั้นได้ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ “ระเบิดนิวเคลียร์”
แต่สหราชอาณาจักรก็ขาดแคลนพื้นที่และมีปัญหาการเมืองในประเทศ สหราชอาณาจักรจึงหันไปหาดินแดนใต้อำนาจของตน ใช้ทะเลทรายอันกว้างใหญ่และหมู่เกาะของประเทศในเครือจักรภพเป็นที่ทดลอง
ในช่วงระหว่างปีค.ศ.1952-1963 (พ.ศ.2495-2506) สหราชอาณาจักรได้ทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ถึง 45 ลูกในประเทศออสเตรเลีย เกาะคริสต์มาส (Christmas Island) และเกาะมัลเดน (Malden Island) ซึ่งอยู่ห่างจากสหราชอาณาจักรกว่า 10,000 กิโลเมตร
การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกของสหราชอาณาจักรได้ดำเนินการในเซาท์ออสเตรเลีย ณ สถานที่ต่างๆ เช่น อีมูฟิลด์ (Emu Field) มอนเตเบลโล (Monte Bello) และมาลลิงกา (Maralinga)
ที่มาลลิงกา ชุมชนชาวอะบอริจินได้ถูกบังคับให้ย้ายออกจากดินแดนบรรพบุรุษ ส่วนผู้ที่ยังคงอยู่ก็ไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะมา ก็ต้องอยู่เผชิญกับฝันร้ายจากกัมมันตรังสี
ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1953 (พ.ศ.2496) ระหว่างการทดสอบระเบิดที่อีมูฟิลด์ เมฆกัมมันตรังสีที่เกิดจากการทดลองก็ได้ลอยไปไกลกว่าเขตที่คาดการณ์ไว้หลายร้อยกิโลเมตร
ผู้เห็นเหตุการณ์ได้บรรยายถึงหมอกสีดำคล้ายน้ำมันที่เคลื่อนตัวข้ามทะเลทราย โดยชนพื้นเมืองรายหนึ่งได้กล่าวว่า
“หมอกสีดำนี้พัดผ่านมา มันดำวาว ดูเหมือนน้ำมัน มันเผาตาและผิวหนังของเรา และต่อมา ผู้คนก็ล้มป่วย บางคนก็เสียชีวิต”
หลายสิบปีต่อมา คำให้การเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสอบสวนโดยคณะกรรมการหลวงในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) เกี่ยวกับการทดสอบนิวเคลียร์ของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลีย ซึ่งได้ยืนยันถึงการปนเปื้อนของสารอันตรายในวงกว้างและการละเลยหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
ทหารชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย และคนงานพื้นเมืองหลายพันคนได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมในการทดสอบเหล่านี้โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน โดยหลายคนได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูการระเบิดโดยสวมเพียงกางเกงขาสั้นและหมวก ได้รับคำแนะนำแค่ให้เอามือปิดตาไว้เท่านั้น
จากการสืบสวนของ BBC ในปีค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) ได้เปิดเผยว่า มีการจงใจให้ทหารสัมผัสกับกัมมันตรังสีเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาผลกระทบของการสัมผัสกับนิวตรอนต่อร่างกายมนุษย์ และทหารผ่านศึกเหล่านี้ ภายหลังก็มีรายงานว่าได้เป็นโรคมะเร็ง มีบุตรยาก และหากมีบุตร บุตรที่เกิดมาก็เกิดมาพร้อมความพิการ
แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด อ้างว่าขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าความจริงจะปรากฎ
ในปีค.ศ.2009 (พ.ศ.2552) กลุ่มทหารผ่านศึกจำนวน 1,000 นายได้ฟ้องร้องต่อกระทรวงกลาโหมแห่งสหราชอาณาจักร และรัฐบาลก็ได้ต่อสู้คดีมานานหลายปี โดยอ้างว่าข้อเรียกร้องนั้นหมดอายุความ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเงินชดเชย และค่าชดเชยที่ว่านั้นก็ได้เพียงเพียงบางส่วน ไม่เต็มจำนวนอีกด้วย
อดีตทหารนายหนึ่งได้กล่าวว่า
"พวกเขาใช้เราเป็นหนูทดลอง และเมื่อเราป่วย พวกเขาก็ปฏิเสธว่าเราไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ"
ในยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) ดินแดนมาลลิงกาก็เต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนของพลูโทเนียม ยูเรเนียม และโลหะกัมมันตรังสี
จากการสืบสวนของหนังสือพิมพ์ ”The Guardian“ ในปีค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) พบว่าการทดลองนั้น ได้นำกากกัมมันตรังสีไปฝังไว้ใต้ชั้นทรายบางๆ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ ฝนที่ตกลงมาก็ยังมีชิ้นส่วนของพลูโทเนียม อนุภาคที่จะยังคงเป็นอันตรายถึงชีวิตไปได้อีกหลายพันปี เจือปนอยู่
รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังคงยืนยันว่าได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว แต่กลุ่มทหารผ่านศึกและกลุ่มชาวอะบอริจินยังคงต่อสู้เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน
มาลลิงกาไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ แต่คือบาดแผลบนผืนดินศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าพื้นเมือง
รายต่อไปคือ “ฝรั่งเศส”
เมื่อ “ชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle)” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปีค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) เขาได้ประกาศว่าฝรั่งเศสจะรักษาความเป็นอิสระทางนิวเคลียร์จากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle)
แต่เขาต้องการสถานที่ทดสอบ และแผ่นดินใหญ่ของฝรั่งเศสก็ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ทางออกจึงอยู่ที่เฟรนช์โปลินีเซียซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 15,000 กิโลเมตร
ระหว่างปีค.ศ.1966-1996 (พ.ศ.2509-2539) ฝรั่งเศสได้ดำเนินการทดสอบนิวเคลียร์ถึง 193 ครั้ง แบ่งเป็นการทดสอบในบรรยากาศ 46 ครั้ง และใต้ดิน 147 ครั้ง ณ เกาะปะการังห่างไกลของมูรูโรอา (Moruroa) และฟันกาตอฟา (Fangataufa) ซึ่งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของฝรั่งเศสกว่า 10,000 กิโลเมตร
เป็นเวลาหลายสิบปีที่ฝรั่งเศสอ้างว่าการทดสอบของตนนั้นปลอดภัยและอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด
แต่เอกสารที่ได้เปิดเผยในเวลาต่อมาก็ได้เปิดเผยว่า ความจริงนั้นตรงกันข้าม โดยการสืบสวนในปีค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) พบว่าชาวโปลินีเซียกว่า 110,000 คน ซึ่งเกือบจะเทียบเท่าประชากรทั้งหมดของตาฮิติและเกาะใกล้เคียง ต้องสัมผัสกับกัมมันตรังสีในระดับที่เป็นอันตราย
การทดสอบระเบิดในปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) ซึ่งมีโค้ดลับว่า “แซงตอร์ (Centaure)” ได้ปล่อยไอโอดีนกัมมันตรังสีและซีเซียม-137 ไปทั่วภูมิภาค และระดับรังสีก็สูงกว่าที่ฝรั่งเศสยอมรับต่อสาธารณะกว่า 500 เท่า
เจ้าหน้าที่ฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งรับทราบถึงฝุ่นกัมมันตรังสีที่ตกลงมา ได้สั่งให้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้น ให้หลบอยู่ในอาคาร แต่ไม่ได้เสนอเม็ดไอโอดีนหรือการป้องกันทางการแพทย์ใดๆ
เอกสารลับในปีค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) ได้เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมแห่งฝรั่งเศสทราบว่าเกาะตาฮิติมีการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสี แต่จงใจรายงานปริมาณรังสีที่ได้รับให้ต่ำกว่าความเป็นจริง จุดประสงค์ก็เพื่อรักษาเสียงสนับสนุนการทดสอบที่ดำเนินต่อไป
เมื่อมีการเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ในปีค.ศ.2021 (พ.ศ.2564) คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูของฝรั่งเศส (CEA) ได้เปิดฉากการตอบโต้ด้วยการประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อ ใช้เงินกว่า 90,000 ยูโรในการรณรงค์เพื่อปกป้องความสมบูรณ์แบบทางวิทยาศาสตร์ของตน พยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อฝ่ายตน
แต่ในปีค.ศ.2025 (พ.ศ.2568) หรือปีนี้เอง การสอบสวนของรัฐสภาฝรั่งเศสยืนยันว่า มีเอกสารเพียง 380 ฉบับจากทั้งหมดกว่า 7,000 ฉบับที่ถูกเปิดเผย
ผู้เชี่ยวชาญให้การว่า การปนเปื้อนของรังสีหรือสารอันตรายนั้น อยู่ในระดับที่มากกว่าที่ยอมรับไว้มาก และข้อมูลที่เป็นทางการก็ถูกบิดเบือนเพื่อลดการประมาณการสัมผัส
นับตั้งแต่ปีค.ศ.2010 (พ.ศ.2553) ฝรั่งเศสได้เสนอค่าชดเชยแก่เหยื่อ แต่จากใบคำร้องจำนวน 7,000 รายการ มีผู้ได้รับการอนุมัติน้อยกว่า 3% โดยส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธเนื่องจากขาดหลักฐานที่ชัดเจน และสำหรับชาวโปลินีเซียจำนวนมาก ข้อความนี้ชัดเจนแล้ว
จักรวรรดินิวเคลียร์ของฝรั่งเศสอาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความเย่อหยิ่งแบบอาณานิคมยังคงอยู่
แม้กระทั่งทุกวันนี้ เกาะปะการังมูรูโรอาก็ยังคงไม่ปลอดภัย
การทดสอบใต้ดินทำให้ฐานปะการังแตกหัก และข้อมูลดาวเทียมแสดงให้เห็นรอยร้าวที่ขยายตัวภายใต้แรงกดดัน และผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า การยุบตัวอาจปล่อยกากกัมมันตรังสีหลายแสนลูกบาศก์เมตรสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้
ในปีค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้รับฟังคำให้การใหม่จากนักเคลื่อนไหวชาวโปลินีเซียที่เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใดระเบิดเหล่านี้จึงไม่ถูกทดสอบในย่านชานเมืองเนวาดา ในยอร์กเชอร์ หรือใกล้กรุงปารีส
นั่นเพราะสถานที่เหล่านั้นมีประชาชนอยู่จำนวนมาก และล้วนแต่เป็นคะแนนเสียงทางการเมือง แต่แปซิฟิกไม่มี
ชนพื้นเมืองในภูมิภาคเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวมาร์แชลล์ ชาวอะบอริจินออสเตรเลีย และชาวโปลินีเซีย ต่างถูกมองว่าเป็นเพียงเป้าหมาย ไม่ใช่พลเมือง เป็นโล่มนุษย์สำหรับความทะเยอทะยานของจักรวรรดิ
ยุคนิวเคลียร์นั้นห่างไกลจากชัยชนะของความทันสมัย มันได้เปิดเผยความไม่เท่าเทียมกันอย่างลึกซึ้งของระเบียบโลก และพิสูจน์ว่าแม้ในยุคอะตอม ชีวิตบางชีวิตก็มีความสำคัญน้อยกว่าชีวิตอื่นๆ
ครึ่งชีวิตทางกายภาพของพลูโทเนียมคือ 24,110 ปี แต่ครึ่งชีวิตทางศีลธรรมของลัทธิอาณานิคมนิวเคลียร์อาจจะยาวนานกว่านั้น
ทั่วทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก กากกัมมันตรังสีก็ยังคงรั่วไหลลงสู่มหาสมุทร เด็กๆ ยังคงเป็นมะเร็งจากพันธุกรรมที่ต่อเนื่องมาจากยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) คนรุ่นหลังที่เกิดมาก็มีความพิการที่สืบย้อนไปถึงการระเบิดในช่วงก่อนยุคสมัยของพวกเขา
ในวันนี้ คำถามใหม่กำลังผุดขึ้นมา
โลกพร้อมสำหรับอนาคตอันเลวร้ายอีกครั้งหรือไม่?
เมื่อผู้นำกลับมาพูดถึงอาวุธนิวเคลียร์และการทดสอบใหม่อีกครั้ง ความกลัวก็หวนกลับมา เมื่อสหรัฐอเมริกาพูดถึงการนำการทดสอบนิวเคลียร์กลับมา มันได้เตือนให้โลกเห็นว่าเรายังอยู่ใกล้กับการทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิมมากเพียงใด
หากการทดสอบเหล่านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จะทำที่ไหน?
ชาติที่ทรงอำนาจจะปกป้องดินแดนของตนเองและทดสอบบนดินแดนของผู้อื่นอีกหรือไม่?
โลกต้องจดจำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะหากเราลืมอดีต เราอาจเดินเข้าสู่อนาคตอันมืดมิดเดิมอีกครั้ง อนาคตที่ไม่ได้เรืองรองด้วยความปลอดภัย แต่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง
โฆษณา