4 ชั่วโมงที่แล้ว • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

“Scarlet” ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Hamlet” แต่จะชวนถกถึงแนวคิดล้างแค้น จากความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน

ขณะที่ผลงานก่อนของผู้กำกับฯ มาโมรุ โฮโซดะ มักพูดถึงประเด็นการก้าวข้ามพ้นวัยในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งความรัก, เรื่องครอบครัว, การเป็นแม่คน หรือกระทั่ง การโอบรับตัวตนในโลกดิจิตอล แต่ในผลงานใหม่อย่าง “Scarlet” นั้น โฮโซดะ กลับนำมาซึ่งความใหญ่โต ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นฉากหลังของเรื่องราว แต่รวมถึงประเด็นที่ตัวเอกต้องเติบโตข้ามผ่านเคียดแค้นภายในใจ ซึ่ง โฮโซดะ ก็ดึงแรงบันดาลใจหลวม ๆ มาจากบทละครของเชคสเปียร์ส
โดยล่าสุด จากบทสัมภาษณ์ทาง Collider ด้านผู้กำกับฯ มาโมรุ โฮโซดะ ออกมาเผยว่า “Scarlet” ซึ่งเป็นแอนิเมชันผจญภัยแฟนตาซี ได้รับแรงบันดาลใจอย่างหลวม ๆ มาจากโศกนาฎกรรมคลาสสิคอย่าง “Hamlet” ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ส โดยที่ โฮโซดะ ก็เปรยว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองโลกในปัจจุบันเป็นแรงจูงใจหลักในการสร้างแอนิเมชันเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการจะส่งสารด้านบวกไปสู่ผู้ชมกลุ่มใหม่
“การได้มองสถานการณ์ทางการเมืองโลกหลังภาวะโควิด เป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับผม”
“ความคิดที่ว่า ผู้คนไม่อาจให้อภัยในช่วงเวลานั้น และยังคงเก็บความแค้นนั้นมาจนถึงวันนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก และมันก็เป็นอิทธิพลสำคัญ ในการริเริ่มหนังเรื่องนี้ เพราะผมอยากส่งต่อสาส์นเชิงบวกไปสู่ผู้ชมรุ่นใหม่ ซึ่งในแง่ของเรื่องราวการแก้แค้น ‘Hamlet’ ของเชคสเปียร์คืองานชิ้นเอกเลย มันว่าด้วยวัฎจักรของการล้างแค้น ที่ยังร่วมสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ และนั่นเป็นสาเหตุ ที่ผมใส่ส่วนประกอบของเชคสเปียร์เข้าไปในเรื่องราวและตัวละคร” โฮโซดะ กล่าว
ทั้งนี้ เรื่องราวโดยย่นย่อของ “Scarlet” ว่าด้วยเรื่องราวการเดินทางล้างแค้นขององค์หญิงสการ์เล็ตต์ ที่หมายหัวท่านลุงของตนเอง จากการลอบสังหารพระราชบิดาของเธอ แต่กลับต้องฝ่าภพภูมินิจนิรันดร์ที่ซึ่งคนเป็นและคนตายมาบรรจบกัน
แต่ขณะที่ตัวตนของ สการ์เล็ตต์ อาจเป็นภาพสะท้อนของตัวเอก แฮมเล็ต ใน “Hamlet” และอาจแฝงมาซึ่งนัยยะหลายอย่างจากเรื่องราวต้นฉบับก็ตาม แต่ โฮโซดะ ก็พยายามพลิกมุมมองกลับผ่านความชัดแจ้งของศูนย์กลางปมขัดแย้ง ที่ สการ์เล็ตต์ พยายามจะเรียนรู้ถึงการให้อภัยผ่านการเดินทางพานพบตัวละครต่าง ๆ จากคำสั่งเสียสุดท้ายที่พ่อของเธอทิ้งไว้ และมันก็อาจเป็นสาส์นไปสู่คนดูทั่วไป ต่อวิธีการจัดการแก้ไขความระหองระแหงในสังคมปัจจุบัน ที่อาจนำไปสู่สงครามที่น่าหวาดหวั่น
“ในรากฐานเรื่องของ ‘Hamlet’ พ่อของเขาหวนกลับมาในร่างวิญญาณ เพื่อพร่ำบอกเขาว่าอย่าให้อภัย ก่อนส่งเสริมให้เขาออกไปล้างแค้น ซึ่งหากผมมอบเป้าหมายแบบเดียวกับ ‘Scarlet’ ความขัดแย้งภายในใจจะทวีความรุนแรงขึ้น”
“สิ่งที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวงกับสการ์เล็ต นั่นคือ คำพูดสุดท้ายของพ่ออย่าง ‘จงให้อภัย’ แต่มันก็เป็นเป้าหมายที่น่าสับสน เพราะหลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเธอ เธอกลับสงสัยว่า ทำไมการให้อภัยมันถึงง่ายดายนัก ซึ่งคำถามนั้นก็แสดงให้ สการ์เล็ตเห็น ถึงวิธีจัดการกับความกระตือรือร้นนั้น และจะให้อภัยได้อย่างไร”
“และมันก็มีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับ ภูมิทัศน์ของสถานการณ์การเมืองโลกในปัจจุบัน และผมก็อยากให้มันสะท้อนลงไปในบทภาพยนตร์ เราอาจยังไม่มีคำตอบในการแก้ไขปัญหาในตอนนี้หรอก แต่มันก็มีความปรารถนาของมนุษยชาติ ในการจัดการปัญหานี้ร่วมกัน จากราคาของสงคราม” โฮโซดะ กล่าวเสริม
นั่นทำให้ โฮโซดะ มาพร้อมเป้าหมาย ที่ไม่เพียงแต่จะนำเรื่องราวใน “Hamlet” ที่ว่าด้วยเรื่องราวการล้างแค้น ซึ่งถือเป็นปมเรื่องยอดนิยม ที่หนังนับพันเรื่องดึงมาใช้เป็นแกนหลัก ก่อนนำไปสู่บทสรุปที่น่าพึงพอใจ ที่สุดท้ายตัวเอกได้จัดการล้างแค้นได้สำเร็จ แต่ “Scarlet” จะชวนผู้ชมพูดคุยต่อการฟอกขาวความรุนแรงนั้น และถกเถียงในทางเลือกผลลัพธ์อื่น ที่อาจจะดีกว่าการเดินทางด้วยสายตา ที่มืดบอดไปด้วยโทสะและความเกรี้ยวกราด
“จากการได้เฝ้าดูความขัดแย้งในปัจจุบัน ทำให้ผมตั้งใจสร้างหนังเรื่องนี้ให้มอบประสบการณ์ที่ชวนให้ผู้ชมขบคิด และผมหวังว่า มันจะเป็นตัวจุดประเด็นสำหรับบทสนทนา และผมคิดว่า นักดูหนังจะเข้าใจแนวคิดการแก้แค้นแบบเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับผม มันเป็นแนวคิดโรแมนติกแก่ผู้คนมากมายทั่วโลกเช่นกัน เพราะมันมักมีเรื่องราวการแก้แค้นอยู่เสมอ ทุกคนมีใครบางคนที่ไม่อาจให้อภัยได้ และสการ์เล็ต ก็เช่นกัน เธอก็ถูกโทสะกลืนกิน แต่มันก็มาพร้อมพัฒนาการและแปลงโฉม”
“ผมอยากให้ผู้ชมรู้สึกถึง กระบวนการของการเปลี่ยนแปลง และรู้สึกถึงสิ่งที่ทำให้เธอตระหนักได้ว่า มันมีอะไรที่สำคัญมากกว่าการล้างแค้น” โฮโซดะ กล่าวทิ้งท้าย
“Scarlet” วางกำหนดฉายในไทย 5 กุมภาพันธ์ 2026
โฆษณา