25 พ.ย. เวลา 02:24 • ความคิดเห็น
จะตบท้ายว่าขอแบบเบาๆทำไม
เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องจัดหนักอยู่แล้ว
จัดมาเลยหนักๆ ไม่ต้องเบา
คำถามมันไม่เบา จะให้ตอบแบบเบาๆทำไม
ข้อมูลภาพรวมโดย AI
"กับดักประเทศไทย" คือ
"กับดักประเทศรายได้ปานกลาง" ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประเทศพัฒนาจากประเทศรายได้น้อยมาเป็นประเทศรายได้ปานกลางได้แล้ว แต่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้ เนื่องจากไม่สามารถยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันให้สูงขึ้นได้อีก. สาเหตุที่ไทยตกอยู่ในภาวะนี้มักมาจากการที่เศรษฐกิจยังพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้.
ลักษณะของกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
  • 1.
    ​เศรษฐกิจพึ่งพิงรายได้สูง: พึ่งพิงการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และแรงงานราคาถูก ทำให้การแข่งขันในตลาดโลกเริ่มลดลงเมื่อประเทศอื่นมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
  • 2.
    ​ขาดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม: ไม่สามารถยกระดับไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกถดถอยลง
  • 3.
    ​ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ: โครงสร้างการผลิตและการส่งออกยังไม่หลากหลาย การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่มีมูลค่าสูงยังไม่เติบโตเท่าที่ควร
ตัวอย่างของประเทศที่ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง
  • 1.
    ​Brazil
  • 2.
    ​Colombia
  • 3.
    ​Malaysia
  • 4.
    ​Uruguay
  • 5.
    ​Venezuela
"กับดักประเทศไทย" เป็นคำที่ใช้เรียกสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "กับดักรายได้ปานกลาง" (Middle Income Trap) ซึ่งเป็นภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะงักงันในระดับรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน โดยไม่สามารถก้าวไปเป็นประเทศที่มีรายได้สูง (พัฒนาแล้ว) ได้
ลักษณะสำคัญของกับดักรายได้ปานกลางในบริบทของไทย:
การเติบโตที่ชะลอตัว: ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านจากประเทศรายได้ต่ำมาเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (upper-middle income) ตั้งแต่ปี 2011 แต่หลังจากนั้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับลดลงและไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน: ประเทศสูญเสียความได้เปรียบจากการใช้ค่าแรงราคาถูกในการผลิตสินค้าส่งออก เนื่องจากค่าแรงเริ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับประเทศพัฒนาแล้วในตลาดสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (high-value-added products) หรือสินค้าที่ต้องใช้นวัตกรรมขั้นสูงได้
ขาดการลงทุนด้าน R&D และนวัตกรรม: ประเทศยังพึ่งพาการผลิตแบบเดิมๆ และมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการสร้างนวัตกรรมที่ยังไม่เพียงพอ
ปัญหาเชิงโครงสร้าง: มีปัญหาเชิงโครงสร้างสะสมมาอย่างยาวนาน เช่น กฎระเบียบที่ล้าสมัย ขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเติบโตในอนาคต และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นทั้งภาครัฐและเอกชน
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงานยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เน้นนวัตกรรม
โดยสรุป "กับดักประเทศไทย" คือภาวะที่เศรษฐกิจไทยติดหล่มอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถใช้รูปแบบการเติบโตแบบเดิมเพื่อก้าวต่อไปได้ และจำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับรายได้ของประชาชนให้สูงขึ้น
การลงทุน R&D (Research & Development) คือ การลงทุนในกิจกรรม "การวิจัยและพัฒนา" ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่มีอยู่ให้ดีขึ้น การลงทุนนี้มีความสำคัญต่อการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัท แม้ว่าอาจจะมีความเสี่ยงและไม่เห็นผลตอบแทนทันที
วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก
  • 1.
    ​ส่งเสริมนวัตกรรม:
  • 1.
    ​R&D ช่วยให้บริษัทนำแนวคิดใหม่มาสู่ผลิตภัณฑ์และบริการจริง
  • 2.
    ​รักษาความสามารถในการแข่งขัน:
  • 1.
    ​ช่วยให้บริษัทปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปและทันต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
  • 2.
    ​สร้างความได้เปรียบทางการตลาด:
  • 1.
    ​ผลลัพธ์อาจนำไปสู่การจดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ที่ช่วยสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
กิจกรรมใน R&D
  • 1.
    ​การวิจัย:
  • 1.
    ​การสำรวจแนวคิดและหลักการพื้นฐานเพื่อสร้างความรู้ใหม่
  • 2.
    ​การพัฒนา:
  • 1.
    ​การนำความรู้ที่ได้มาสร้างเป็นต้นแบบหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์และกระบวนการให้ดีขึ้น
  • 2.
    ​การทดลอง:
  • 1.
    ​การทดสอบประสิทธิภาพของแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะนำออกสู่ตลาดในวงกว้าง
การบันทึกทางบัญชี
  • 1.
    ​การบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย:
  • 1.
    ​โดยทั่วไปค่าใช้จ่าย R&D จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานในงบกำไรขาดทุนในปีที่ใช้จ่าย
  • 2.
    ​การบันทึกเป็นทุน:
  • 1.
    ​ในบางกรณี ต้นทุนบางส่วนสามารถบันทึกเป็นสินทรัพย์ได้ โดยจะนำไปคิดค่าเสื่อมราคาตามอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์
โฆษณา