26 พ.ย. เวลา 12:39 • การเมือง

มากับไฟ ไปกับน้ำ..

นายกคนปัจจุบัน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยไฟจากกระสุน
ในความขัดแย้งกับกัมพูชาเป็นหลัก
เนื่องจากกระแสสังคมในขณะนั้น บีบให้มีการจัดการ
กับนายกคุณหนู จนมีอันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองในประเทศเรา
ตอนแรกเหมือนจะดี เซททีมเศรษฐกิจโปรไฟล์ดีเข้ามาร่วม
เพื่อเอาใจคนชั้นกลาง โดยหวังว่าจะได้ใจคนในเมืองกรุงบ้าง
แต่แล้ว เหตุการณ์ก็พลิกผัน ด้วยน้ำ
ตั้งแต่น้ำท่วมแช่ภาคกลาง มาจนเกิดอุทกภัยหนักหน่วง
ในภาคใต้หลายจังหวัด
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น มันกำลังทำลายความฝันการอยู่ต่อ
ในสมัยหน้าของนายกหนูอย่างมาก
การบริหารน้ำของรัฐบาลนั้น ถูกวิจารณ์หนักมาก
ไม่ใช่เพิ่งมาหนัก แต่ถูกด่ามาตั้งแต่กรณีการจัดการ
น้ำเหนือแล้ว ที่ปล่อยให้เกิดการเก็บน้ำในเขื่อนใหญ่
มากกว่า 90%
จนต้องปล่อยลงมาท่วมที่ราบภาคกลางอย่างหนัก
โดยเฉพาะแถวสิงห์บุรี อยุธยา
อยุธยาหลายอำเภอตอนนี้ก็ยังหนัก แต่เป็นลักษณะ
ท่วมแช่อยู่เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว
จนเกิดคำวิจารณ์เชิงน้อยใจไปทั่ว จากคนกรุงเก่า
ในทำนองว่าทำไมชั้นต้องมารับกรรมให้คนกรุงเทพ
และนิคมอุตสาหกรรม ทุกปีๆโดยไม่ได้อะไรที่คุ้มค่า
ตอบแทนมาเลย
และทราบกันหรือไม่ เด็กในบางบาล
และหลายพื้นที่ของอยุธยาตอนนี้
ส่วนมากไม่ได้ไปโรงเรียนมากกว่าสามเดือนแล้ว
หลายคนที่กำลังสอบเรียนต่อ ประสบปัญหาอย่างมาก
และรัฐก็ยังไม่มีแนวทางแก้ไขเป็นรูปธรรม
การที่นายกไปน้ำตาคลอ จะเอาเงินเดือนละ 9,000
ฟาดหัวชาวบ้าน ไม่มีใครมองว่ามันคุ้มค่าหรอก
การโดนด่า จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก และสมควรโดน…
มาโดนน้ำสอง ที่ใต้เข้าไปอีก
อันนี้สำหรับนายกและพรรคร่วมบางพรรค เช่นพรรคเดอะแป้ง
ที่หมายมั่นปั้นมือมาก กับเลือกตั้งรอบหน้าในเขตภาคใต้….
…แทบช็อค….
เพราะรอบนี้มันหนักจริงๆ และการช่วยเหลือก็ค่อนข้าง
ช้า และย่ำแย่อย่างมาก หลายพื้นที่ เช่น หาดใหญ่ สตูล
นราธิวาส จมน้ำเป็นวงกว้าง และที่จริงมันมากกว่านี้อีก
และอาจหนักขึ้น เพราะนี่ คือหน้ามรสุมปกติของภาคใต้
จนถึงตอนนี้ ฝนก็ยังตก
ซึ่งผมขอภาวนาไม่ให้เป็นแบบนั้น สงสารชาวบ้าน
ไปจนถึงหมาแมว ที่ต้องเจออะไรแบบนี้มาก
จนถึงตอนนี้ หลายแหล่งข่าว เริ่มเปิดตัวเลขความสูญเสีย
ด้านชีวิตกันบ้างแล้ว ว่ากันว่า อาจมากถึง 80 ชีวิตทีเดียว
จะว่าเป็นภัยธรรมชาติหรืออะไรก็ตาม
แต่การแจ้งเตือนที่ช้า ความช่วยเหลือที่ติดขัด
จะให้รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบคงไม่ได้
แล้วคนในรัฐบาลก็ ปัดสวะแบบปากพาจน หาเรื่อง
เหมือนสาดน้ำมันใส่กองไฟอีก
….รมต. แป้งมันบอก แจ้งเตือนแล้ว ชาวบ้านห่วงสมบัติ
ไม่ยอมออกมากันเอง….
…มือกฎหมายขั้นเทพประจำรัฐบาล ไปโทษส่วนท้องถิ่น….
…สุดท้าย นายกบอก ไม่ช้า รัวๆ ถึงสามครั้ง เมื่อนักข่าวถาม…
ทั้งหมด ไม่มีคำขอโทษใดๆ จากใจของผู้มีอำนาจเลย
แบบนี้มันสมควรไหมล่ะ ที่ชาวบ้านจะด่า
แล้วถ้ามีการยุบสภาในเดือนมกราคมจริงๆ
แผลในใจนี้จะยังอยู่เป็นภาพจำกับประชาชนแน่นอน
โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัย
พรรครัฐบาลปัจจุบัน ว่ากันตามจริง เลือกตั้งยังไง
ก็คงน้อยกว่าส้มบวกแดงอยู่แล้ว
ถ้าความหวังเดียวคือ อนุรักษ์นิยมทางใต้เสียงแตก
…ก็แทบปิดโอกาสที่จะมีเสียงมากพอจะต่อรองตั้งรัฐบาล
ดึงคนมาร่วมไปเลยทีเดียว….
คุณอนุทิน ฉลาดในการเล่นกับกระแสมาเสมอ
 
กรณีเขมรนี่ชัดมาก ปั่นสุดๆ ทั้งด้วยตัวเอง และเครือข่าย
(แม้เข้ามาแล้ว ความขัดแย้งจะเหมือนเดิมก็ตาม)
แต่คล้ายคุณทักษิณและเศรษฐีคนอื่น คือ อีโก้สูง
และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาด
การบริหารน้ำรอบนี้ มันเหมือนหนามแทงใจ
ที่กลับมาแทงฝ่ายอนุรักษ์นิยมเอง
คือ จะบอกเพิ่งเข้ามาแก้ตัวให้รัฐบาลก็ไม่ได้
เพราะเคยด่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ไว้แบบนี้เหมือนกัน
ที่แย่กว่า คือนายกพยายามปัดให้พ้นตัว
โดยโยนให้กองทัพ …อีกแล้ว
…โดยเที่ยวนี้ โยนให้ท่าน ผบ.สส. เป็นหัวหน้าทีม
ร่วมกับคุณธรรมนัส ในฝ่ายพลเรือน….
…ส่วนตัวเอง ผัดข้าวโชว์ แล้วจบ….
1
ส่วนสุดท้าย ที่ผมอยากพูดถึง
คือ การใช้กองทัพแก้ปัญหาภัยพิบัติเป็นหลัก
อันนี้ไม่ใช่ผมจะว่าอะไรทหารนะครับ
เวลาทำ ท่านก็ทำได้ดีนั่นแหละ
แต่ปัญหาคือ กองทัพนั้นเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง
ที่การจะใช้กำลังคน อุปกรณ์ต่างๆ มันมีข้อจำกัดทางกฎหมาย
ที่ทำให้เสียเวลามากอยู่ กว่าจะออกจากกรมกองได้
คือ กว่าทหารจะออกได้เนี่ย ต้องประสานกันหลายชั้นครับ
กฎหมายมันบังคับอยู่ (ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม)
แล้วนั่นแหละ มันทำให้ช้า และเป็นคำตอบว่า
ทำไมทหารถึงช้าทุกที ทั้งที่บางทีกรมอยู่ใกล้และพร้อมช่วย
1
ซึ่งมันต่างจากหน่วยงานรัฐพลเรือนของ ปภ. ที่ออกได้ทันที
ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ
ไทยเรา ดันไปโยนงานปัองกันสาธารณะภัย
ไปไว้กับกองทัพเยอะ
เยอะจน ปภ. นั้นมีงบประมาณ และอุปกรณ์ไม่มากพอ
จะเผชิญเหตุ อย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งงบส่วนนี้จำนวนมากมันไปอยู่กับกองทัพ ซึ่งไทยเรามองว่า
เป็นส่วนหลัก ของงานรับมือภัยพิบัติ
1
เลยกลายเป็นว่า ปภ. ที่ลงพื้นที่ได้เร็วกว่า ขาดของ ขาดคน
ต้องรอกองทัพจบขั้นตอนทางกฎหมายก่อน ถึงจะทำงานกันได้
คำถาม คือ มันควรจะเป็นแบบนั้นไหม ?
จริงครับ ทั่วโลกใช้กองทัพแก้ปัญหาภัยพิบัติทั้งนั้น
แต่นั่นต้องเป็นเมื่อเกินมือหน่วยงานพลเรือนแล้ว เท่านั้น
ยกเว้นในบางประเทศเช่น จีน เวียดนาม ที่เป็นรัฐทหาร
โดยระบบของพวกเขาเองอยู่แล้ว
ไทยเรา ครึ่งๆกลางๆไปไหม ทุกอย่างมันเลยช้าแบบนี้
จำน้ำท่วมเหนือปีก่อนได้ไหมล่ะครับ
ตอนนั้นกว่าทาง ทร. จะเอายานสะเทินน้ำสะเทินบกมาช่วยได้
มันก็ทอดเวลาไปหลายวัน จนเกิดความสูญเสีย
ซึ่งนั่น ก็คือเพราะกฎหมาย ห้ามทหารเคลื่อนกำลังนั่นเอง
รอบนี้ก็ไม่ต่างกัน กำลัง ปภ. มันไม่พอ
ส่วนท้องถิ่นก็ไม่มีศักยภาพรับมือภัยพิบัติระดับนี้
ก็เลยต้องมานั่งรอกองทัพ อย่างที่เห็นกัน
ผมว่ามันควรจะแก้ไขนะ
จะแก้กฎหมายการเคลื่อนย้ายกำลัง ก็ได้
แต่จะดีกว่า ถ้าเอางานช่วยคนหลัก กลับมาไว้ที่ ปภ.
เพราะปัจจุบันงบมันน้อยมากจริงๆ ถ้าเทียบกับเนื้องาน
ความจริงใจของกองทัพ เวลามาช่วย ไม่มีใครสงสัยครับ
แต่ความเชี่ยวชาญ บางครั้งมันไม่มี
เช่น งานเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ช่วยคนติดเตียง คนทัอง
ลักษณะนี้ งานควรจะอยู่ที่ ปภ. ที่จะฝึกคนที่จะชำนาญ
เฉพาะด้านไว้รับเหตุ เพราะเสนารักษ์ไม่ได้ถูกฝึกมา
ให้ทำงานในลักษณะนี้
จริงๆแล้ว เหตุน้ำท่วมเหนือหนัก ปีก่อน มีลักษณะคล้าย
กับครั้งนี้มากกว่าน้ำท่วมที่เกิดในภาคกลาง
รูปแบบของปัญหา มันจึงเหมือนกันไปด้วย
ข้อจำกัดทางกฎหมาย เราก็เคยพูดกันมาทีแล้วตอนนั้น
แต่ก็ไม่เคยมีการแก้ไขอะไรจนถึงตอนนี้
…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเมื่อไหร่จะแก้กัน ปัญหามันเห็นๆ…
อย่าเลยครับ อย่าทำให้คนเขามองว่า กองทัพอยากได้ข้ออ้าง
ให้มีกำลังพลมากๆ หรืออยากได้งบที่ควรเป็นของฝ่ายพลเรือน
…หรือกระทั่ง อยากได้งานที่จะเป็นฮีโร่ เพื่อโปรโมทตัวเอง….
…แก้ได้ก็แก้ครับ ชาวบ้านเขาจะได้อุ่นใจขึ้น….
ภาพ : ThaiPBS
โฆษณา