28 พ.ย. เวลา 15:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
My DCA Project Ep 4: "เดือนที่ 6"
อันที่จริง ใจผมล่ะอยากจะเลิกเขียน อยากจะเลิกใช้ Social Media ทุกช่องทางให้ได้ เพื่อให้ชีวิตผมได้พบกับความสงบตามที่ใจปรารถนาอย่างสมบูรณ์ แต่ผมก็ยังเลิกไม่ได้เสียที
อีกทั้ง ผมก็ดันลั่นวาจาไว้แล้วว่า จะทำแบบนี้ไปจนกว่าจะครบ 360 เดือน ในเมื่อบอกว่าจะทำ ก็ต้องทำต่อไปจนกว่าจะครบนะครับ
- เดือนนี้หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่า มีเงินเพิ่มมาจากเดือนที่แล้ว เกือบ 1,000 ดอลลาร์
นั่นเป็นเพราะผมเห็นเป็นโอกาส ช่วงนี้หุ้นคุณภาพดีหลายตัว ราคาเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว พอไปดูคุณภาพเทียบกับราคา และกระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้ ก็พบว่า Valuation น่าสนใจมาก
ผมจึงจำเป็นต้องแบ่งเงินมาเติมสักหน่อย ซึ่งก็หวังว่าจะไม่ได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ เพราะเดี๋ยวมันจะเสียระบบเอาได้ เดือนเดียวเล่นเติมไปประมาณ 30,000 บาทเลยแฮะ จากที่ควรจะ DCA แค่เดือนละ 5,000 บาท
- ผมยังชอบ SE มาก ๆ อยู่
ผมมีโอกาสได้ฟังทั้งคุณนก ที่ดูแลในส่วนของประเทศไทย และฟังสัมภาษณ์คุณ Forrest Li (เดี๋ยวแปะลิงค์ให้)
ผมพบว่า นี่เป็นบริษัทชั้นเลิศ ที่มีผู้บริหารคุณภาพชั้นเลิศ
ถึงแม้ Shopee จะเริ่มหลัง Lazada แต่ด้วยความสามารถของผู้บริหาร พร้อมทั้งกลยุทธ์ที่เหมาะสม ก็ทำให้ในตอนนี้ Shopee ครองตำแหน่งผู้นำมาสักพักจนได้ และผมก็เชื่อว่า น่าจะได้ครองไปอีกยาว
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่สั่งของผ่าน Shopee บ่อยมาก ทุกสัปดาห์ไรเดอร์จะต้องมาบ้านผม หลายครั้งต่อสัปดาห์ด้วย
ผมมีโอกาสได้คุยกับไรเดอร์อยู่บ้าง มีอยู่วันหนึ่ง ผมสั่งของไปตอนช่วงบ่ายเองมั้ง ตกประมาณ 1 ทุ่มได้ ไรเดอร์ก็โทรมาหา บอกว่าของกำลังจะมาส่งแล้ว
ไอ้ผมก็ช็อกมาก ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เพราะโดยปกติแล้ว ผมไม่เคยเลือกส่งด่วนเลย เพราะมันจะต้องเสียเงินมากกว่า อีกทั้งผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น เพราะปกติผมมักจะสั่งแต่หนังสือ
แต่กลายเป็นว่า ทางไรเดอร์เล่าให้ผมฟังว่า ทาง Shopee เค้าพยายามเร่งให้เร็วขึ้น คือเมื่อลูกค้ากดสั่งของแล้ว ถ้าคนขายก็อยู่ในระยะที่ไม่ไกลกันมาก แล้วถ้าสั่งภายในเวลาไม่เกินบ่าย 2 หรือ บ่าย 3 นี่แหละ ภายในวันเดียวกัน ลูกค้าจะต้องได้สินค้าเลย
ซึ่งผมฟังแล้วก็ตกใจ ปนเห็นใจไรเดอร์เป็นอย่างมาก เพราะถ้าเกิดคุณต้องเร่งให้ได้ Same Day Delivery แบบนี้บ่อย ๆ มันคงจะเหนื่อยมาก แล้วจะมีคนทนทำแบบนี้ได้นานแค่ไหนกัน ไอ้ผมก็กลัวว่า มันจะเป็นปัญหา ให้ไรเดอร์ก่อม็อบอีกหรือป่าว มันดูเป็นนโยบายที่บีบจนเกินไป
อ่อ ต้องบอกว่า ผมได้สินค้านั้นเร็วมาก โดยที่ผมไม่ได้เลือกส่งด่วนเลยด้วยซ้ำ แต่ให้ผมเดา ก็เคาพอจะตีความหมายได้ว่า กลยุทธ์นี้น่าจะช่วยให้อัตราการยกเลิกสินค้าของลูกค้า ลดน้อยลงไปอีก และเพิ่มโอกาสการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าแต่ละคนให้มากขึ้น
ผมไม่รู้หรอกว่า กลยุทธ์นี้ในระยะยาวจะยั่งยืนไหม เพราะมันดูบีบคั้นคนหน้างานมาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนไวของ Shopee กล้าได้กล้าเสียแบบนี้ ก็ทำให้เราเห็นภาพในตลาด SEA
บริษัทนี้มี Market Share มากกว่า 50% ไปแล้ว และผมเชื่อว่า ยังมีโอกาสที่อาจจะไปแตะ 60-70% ด้วยซ้ำ
คือผมแทบมองไม่ออกแล้วว่า จะมีเจ้าไหนเก่งกาจพอจะเข้ามาแข่งขันกับเค้าในพื้นที่แถบนี้ได้อีก
เพราะผมมีความเชื่อมาตลอดว่า สุดท้ายแล้ว ในแต่ละพื้นที่ จะมี E-commerce เจ้าตลาด ผูกขาดพื้นที่แถบนั้น ๆ เก็บกินกันไปยาว ๆ เพราะคู่แข่งหน้าใหม่ที่จะเข้ามา ก็คงไม่ทันอีกแล้ว เข้ามาที คงจะโดนรับน้อง จนเผาเงินหมดเสียก่อน
ภาพที่ผมคิดไว้ น่าจะเป็นแบบนี้
- พื้นที่ประเทศพัฒนาแล้ว มีกำลังซื้อสูง เป็นของ Amazon
- ลาตินอเมริกาแทบทั้งหมด เป็นของ Mercado Libre เพราะโดยส่วนตัวผมยังไม่เชื่อว่า ในระยะยาว SE จะไปลงหลักปักฐานและเอาชนะในย่านนี้ได้ ผมว่าเกมมันเพิ่มเริ่ม ต้องรอให้ MELI ปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสมมาสู้แบบบดุดันดูก่อน
- เกาหลีใต้ Coupang
- อินเดีย Flipkart
- คาซัคสถาน Kaspi
- จีน Alibaba แต่ตรงนี้ผมก็กลัวเหมือนกันว่า สถานะสุดแกร่งสำหรับธุรกิจ E-Commerce ของ BABA จะสั่นคลอนมากแค่ไหน เพราะตลาดจีนเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่า เข้าใจยากกว่าตลาดประเทศอื่นแฮะ
- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน Shopee
- ส่วนแอฟริกา เค้าว่ากันว่า Jumia คือ Amazon ของพื้นที่แถบนี้ แต่ผมไปดูแล้ว งบมันยังดูเละเทะอยู่เลย และยังไม่แน่ใจว่า โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มประเทศแถบนี้ จะเอื้อพอให้ธุรกิจ E-commerce บูมได้เหมือนในประเทศแถบอื่น ในตอนไหน
กลับมาที่ SE กันต่อ ผมลองไปดูแล้ว (ถ้าข้อมูลผิดขออภัย ผมดูเมื่อหลายเดือนก่อน อาจจะยังไม่ได้อัปเดตมากนัก) พบว่า Pentration Rate ของการซื้อสินค้า Online เทียบกับยอดการค้าปลีกทั้งหมด ยังอยู่ที่ประมาณ 15%
เมื่อไปดูประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว จะอยู่ที่ 30%
ผมก็เดาเอาคร่าว ๆ ว่า ถ้าในระยะยาว ทิศทาง Pentration Rate ของการซื้อสินค้า Online ในแถบ SEA จะต้องล้อไปในทิศทางเดียวกัน
และอีกทั้งประเทศใน SEA เกือบทั้งหมด ยังเป็นกลุ่ม Emerging Market อยู่
ก็หมายความว่า ตัวบริษัท SE จะมีโอกาสได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ทาง คือตลาดที่พวกเค้าทำธุรกิจอยู่ ยังมี Runway การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยาวไกล
และโอกาสของตลาด E-Commerce อย่างน้อย ๆ ก็ยังจะโตได้อีกเท่าตัว ไปเป็น 30% ของทั้งหมด ล้อไปกับพวกประเทศพัฒนาแล้ว
เมื่อหันกลับมาดู Valuation ของ SE ในตอนนี้
มี P/FCF แค่เพียง 18 - 20 เท่า
ผมคิดว่า มันเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีมาก
ขออภัยหากผมกาวเกินไปครับ
- มีการปรับกลยุทธ์การลงทุนนิดหน่อย
ผมคิดว่าการ DCA หุ้น 50 ตัว มันมากเกินไปหน่อย และถ้าในจังหวะที่ต้องซื้อ หุ้นเหล่านั้นเกิด Valuation แพงเกินไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเท่าไรนัก เพราะโอกาสที่จะเจ็บตัวก็มีสูง
ผมจึงปรับมาเป็นแบบนี้ คือ จะซื้อเฉพาะหุ้นคุณภาพดี ที่ Valuation ไม่แพงจนเกินไป
ถ้าถูกมากยิ่งดีใหญ่ แต่ถ้าประมาณ Fair Value ก็พอรับได้
แต่หากแพงมาก แบบ P/FCF เป็น 100 เท่า อย่างนี้ผมก็ขอรอไปก่อน
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ผมจะไม่ได้ DCA หุ้นตัวละ 100 บาท 50 ตัว อีกต่อไปแล้ว
เพื่อไม่ให้งง ผมมีหลักการสะสมหุ้นเข้าพอร์ตนี้ เป็น 3 ข้อง่าย ๆ ดังนี้
1. ซื้อแต่หุ้นคุณภาพดี ที่ผมเข้าใจธุรกิจของมัน
มีศักยภาพที่จะเติบโตในอีกยาวไกล ในอีกหลายปีข้างหน้า และมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
2. ซื้อสะสมเฉพาะตอนที่ Valuation ไม่แพงเกินไป ถูกมากยิ่งดี แต่ถ้า Fair Value ก็ยังพอรับได้
3. ที่เหลือก็คือนั่งทับมือ ไม่ทำอะไร รอแค่เติมเงินมาซื้อเป็นรอบ ๆ อย่างเดียว
เอาล่ะ หวังว่าจะเข้าใจตรงกันนะครับ เฮ้อ ผมรู้สึกว่า ผมพิมพ์มายาวมากเกินไปกว่าที่ตัวเองตั้งใจอีกแล้ว ซึ่งการทำแบบนี้ มันทำให้ผมเหนื่อยมากเลยครับ
อย่างที่เราเห็นกันครับ พอร์ตตอนนี้ติดลบนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้รู้สึกกังวลมากเท่าไร คิดว่ามันลงมามากกว่านี้ก็ดี เพราะผมจะได้มีเวลาสะสมหุ้นของธุรกิจดี ๆ ที่ Valuation กำลังถูกมากเลย ต่อไปอีกสักพักครับ 5555
ขอสรุปของเดือนนี้นะครับ ตอนนี้ "พอร์ตโต เพราะเงินเติม" มีมูลค่าอยู่ที่ 1,726 ดอลลาร์แล้วครับ เรายังเหลือเวลาให้ DCA กันอีก "353 เดือน" ครับ
พบกันอีกครั้ง ในช่วงสิ้นปีนี้ครับ
ขอให้ทุกท่าน ที่อดทนอ่านกันมาจนจบนี้ มีความสุขกายสบายใจ รื่นรมย์ไปกับอากาศที่หนาวเย็น กันตอนนี้นะครับ ^^
ลิงค์สำหรับ Ep เก่าครับ:
Part 01
Part 02
เทปสัมภาษณ์คุณ Forrest Li ครับ แนะนำให้ดูกันครับ ผมว่าดีมากเลย
โฆษณา