Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พิตติคม
•
ติดตาม
28 พ.ย. เวลา 20:05 • การเมือง
นโยบายประชานิยม
คำว่าประชานิยม (Populism) เป็นวิธีการทางการเมืองที่นักการเมืองนำมาใช้แสวงหาความนิยมจากประชาชน เพื่อให้ตนเองหรือพรรคการเมืองของตนมีสถานะมั่นคงในทางการเมืองและยังรักษาอำนาจรัฐต่อไปได้ คำว่าประชานิยมถูกตีความได้หลายอย่างทั้งในแง่ของอุดมการณ์และในเชิงกลยุทธ์ทางการเมือง และบรรดานักการเมืองก็นำวิธีการนี้มาใช้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อสร้างคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการสร้างความนิยมจากผู้มีรายได้น้อยหรือประชาชนระดับรากหญ้า
ความจริงคำว่าประชานิยมไม่ใช่คำที่เลวร้ายอะไรและไม่ได้มีความหมายในเชิงลบเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อมีการนำนโยบายนี้ไปใช้แล้วจะเกิดประโยชน์เป็นผลดีหรือเกิดความเสียหายเป็นผลเสียกับประเทศชาติหรือไม่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ใช้ไป บางกรณีสถานะของบ้านเมืองก็เกิดวิกฤตและมีความจำเป็นต้องนำแนวทางนี้มาใช้เหมือนกันเพื่อเยียวยาประชาชนให้ประคองชีวิตอยู่ได้ แต่ก็มีหลายนโยบายที่สร้างความเสียหายตามมาและกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ในอดีตรัฐบาลหลายประเทศนำนโยบายประชานิยมมาใช้แต่ทำให้เกิดความเสียหายจนประเทศแทบล้มละลายก็มีตัวอย่างมาแล้ว เช่น ประเทศกรีซ ประเทศอาร์เจนติน่าและประเทศเวเนซูเอล่า ที่ระบบเศรษฐกิจพังพินาศไป หายนะที่เกิดกับทั้งสามประเทศนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้กับประเทศอื่นๆ หากจะใช้นโยบายประชานิยมถ้าใช้อย่างไม่ระวังและขาดการควบคุมที่ดีก็อาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับสามประเทศนี้ได้
กรณีประเทศกรีซ รัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมโดยประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปีปีละ 3 เปอร์เซ็นต์ ลดการเก็บภาษีประชาชนลง ไม่เก็บภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันใหม่ และให้ประชาชนทุกคนใช้อินเตอร์เน็ตฟรี เพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สูงกว่าเอกชนมาก รวมทั้งใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ทำให้ประเทศกรีซต้องกู้เงินจำนวนมากและหนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี จนรัฐบาลไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ต้องไปกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ กว่า 110,000 ล้าน Euro รัฐบาลต้องหาเงินมาใช้หนี้ไอเอ็มเอฟโดยขึ้นค่าสาธารณูปโภคและขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีน้ำมัน รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายของรัฐลง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากมาย
กรณีประเทศอาร์เจนติน่า ในอดีตเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการส่งออกสินค้าเกษตรและมีเงินทุนสำรองจำนวนมาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือความเหลื่อมล้ำในสังคม ประธานาธิบดีฮวน เปรองเป็นบุคคลแรกที่ได้นำนโยบายประชานิยมมาใช้ในประเทศ เช่น ขึ้นค่าจ้าง สร้างบ้านให้ประชาชน ให้การศึกษาฟรี จนประชาชนเสพติดและเกิดความคลั่งไค้ลถึงขนาดที่เกิดลัทธิเปรอง (Peronism) หรือขบวนการผู้นิยมเปรองขึ้น
รัฐบาลอาร์เจนติน่าในสมัยต่อมาได้เดินตามนโยบายประชานิยมของเปรองโดยใช้วิธีการเอาใจประชาชนและใช้เงินสำรองของประเทศมาสนับสนุนจนหมดเงินต้องกู้จากต่างประเทศแทบไม่เหลือเครดิต จนประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) เกิดเงินเฟ้อถึง 3,000 เปอร์เซ็นต์ จนประเทศล้มละลาย ภายหลังต้องไปกู้เงินจากไอเอ็มเอฟมากระตุ้นเศรษฐกิจจนส่งผลมาถึงปัจจุบัน ประชาชนกว่าครึ่งของประเทศประมาณ 18 ล้านคน มีชีวิตอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน
กรณีประเทศเวเนซูเอล่า ประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันมหาศาลและมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันจนอยู่ในขั้นเศรษฐี ประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวส ชนะการเลือกตั้งในปี 1999 โดยใช้นโยบายหาเสียงแบบประชานิยมสุดขั้ว โดยสร้างบ้านให้ประชาชน ให้หยุดทำการเกษตร โดยรัฐบาลซื้อพืชผลจากต่างประเทศมาให้ประชาชนซื้อมาบริโภคในราคาต่ำ เมื่อเกิดวิกฤตราคาน้ำมันรัฐบาลขาดรายได้จึงพิมพ์เงินออกมาใช้เป็นผลให้เกิดเงินเฟ้อ ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ประชาชนขาดปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
ตัวอย่างที่ยกมาทั้งสามประเทศถือเป็นตัวอย่างของการใช้ประชานิยมอย่างสุดโต่งเพื่อครองใจประชาชนของรัฐบาลซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน จนส่งผลให้ประชาชนในประเทศเสพติดประชานิยมและคอยแต่จะพึ่งรัฐบาล และรัฐบาลเองก็ไม่สามารถเลิกนโยบายเหล่านี้ได้เพราะกลัวเสียคะแนนเสียงจนต้องนำเงินสำรองของประเทศมาใช้และสร้างหนี้จำนวนมากจนในที่สุดประเทศก็ไปไม่รอดเศรษฐกิจล่มสลาย
ในประเทศไทยมีการนำนโยบายประชานิยมมาใช้เพื่อสร้างความนิยมจากประชาชนมานานแล้ว สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเคยมีโครงการเรียนฟรี 15 ปี รถเมล๋รถไฟฟรี แจกเงินประชาชน
แต่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ ชินวัตร มีโครงการกองทุนหมู่บ้าน นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค โครงการ SML ซึ่งสร้างความนิยมชมชอบให้กับประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคซึ่งได้รับความชื่นชอบมาก ส่งผลให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยมีความมั่นคงและสามารถอยู่ในอำนาจอย่างยาวนาน
ต่อมาสมัยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีนโยบายประชานิยมออกมาหลายเรื่องประกอบด้วย นโยบายยกเว้นภาษีบ้านหลังแรก นโยบายลดภาษีรถคันแรก นโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ นโยบายแจก Tablet ฟรีให้นักเรียน นโยบายลดภาษีนิติบุคคล นโยบายลดภาษีน้ำมัน นโยบายพักหนี้เกษตรกร แต่ที่สร้างความเสียหายมหาศาลให้ประเทศชาติคือโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมหาศาลและทำให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบต้องติดคุกในคดีอาญาหลายสิบปี
ความจริงรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็นำนโยบายประชานิยมมาใช้หลายเรื่องโดยเปลี่ยนไปใช้ชื่อโครงการประชารัฐแทนเพื่อหลีกเลี่ยงคำว่าประชานิยมซึ่งจะทำให้ถูกมองด้านลบ โครงการประชารัฐที่สำคัญของรัฐบาลคือ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง บ้านคนไทยประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น
เมื่อประเทศประสบปัญหาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจและประชาชนเร่งด่วน โดยออก พ,ร.ก. กู้เงินมาใช้เพื่อการนี้จำนวน 1 ล้านล้านบาท
โดยจัดทำโครงการช่วยเหลือประชาชนผ่านเว็บเราไม่ทิ้งกัน ลดค่าไฟฟ้าค่าน้ำประปาและคืนเงินประกัน ช่วยเหลือเกษตรกร สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารออมสินและธกส. เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง ให้เงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือผู้ประกันตนในประกันสังคม การสร้างงานภาครัฐ เป็นต้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกรัฐบาลมีนโยบายประชานิยมและนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือใช้เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ แต่ควรใช้อย่างพอควรและมีความระมัดระวังและควบคุมการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ประชานิยมมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินมากและส่วนมากก็ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้น
โครงการที่ล้มเหลวและสร้างความเสียหายให้กับประเทศเช่น โครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศมีหนี้เพิ่มขึ้นหลายแสนล้านบาทต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการชำระหนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพชีวิตและสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับประชาชนดีกว่าการใช้ประชานิยมชั่วครั้งชั่วคราวที่ไม่มีความจำเป็น
ข่าวรอบโลก
ประวัติศาสตร์
เศรษฐกิจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย