เมื่อวาน เวลา 14:52 • สิ่งแวดล้อม

ตอนพิเศษ: กฎหมายแต่ละชั้นของสถาปัตยกรรมสั่งการน้ำของประเทศ

❝ระบบน้ำไม่เดินด้วยปั๊มน้ำ
แต่เดินด้วยกฎหมายที่เชื่อมอำนาจให้คำสั่งเดินทางได้❞
ถ้าเรามองปัญหาน้ำของไทยเป็นเพียงเรื่องฝนตก น้ำมาก เขื่อนน้อย หรือคลองอุดตัน เราจะไม่มีวันแก้มันได้ เพราะระบบน้ำของประเทศนี้ไม่ได้เดินด้วยเหล็ก คอนกรีต หรือเครื่องสูบน้ำ แต่มันเดินด้วย “กฎหมาย” ที่กำหนดว่า ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ใครมีสิทธิ์ตีความเหตุการณ์ และสุดท้าย ใครมีอำนาจออกคำสั่งให้ทั้งประเทศทำงานพร้อมกัน
📌ชั้นแรก ของสถาปัตยกรรมนี้คือกฎหมายที่สร้าง “ความจริงเดียวของน้ำ” เช่น พ.ร.บ.อุตุนิยมวิทยา พ.ศ. 2528 ที่ทำให้ข้อมูลฝน พายุ และสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นข้อมูลของรัฐ ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนบุคคล และ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2546 ที่บังคับให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประกาศสถานการณ์และเผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงอย่างเป็นทางการ สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยมี “ฐานข้อมูลกลางด้านเหตุการณ์” อยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดทำหน้าที่เชื่อมข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็นแผนที่เดียวของประเทศ
📌ชั้นที่สอง คือกฎหมายที่ให้ภารกิจกับหน่วยงานเชิงเทคนิค เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมเจ้าท่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การประปานครหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศอย่าง GISTDA แต่ละหน่วยต่างมี “สมองของตัวเอง” มีแบบจำลองน้ำ เครื่องมือ และข้อมูลเชิงชลศาสตร์ที่แม่นยำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม กฎหมายชั้นนี้แจกงาน แต่ไม่มีใครได้รับมอบหมายให้เชื่อมงานเหล่านั้นเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
📌ชั้นสุดท้าย คือ “หัวใจ” ของสถาปัตยกรรมนี้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กฎหมายที่ให้อำนาจสทนช.เป็นหน่วยงานกลางด้านน้ำอย่างแท้จริง ไม่ใช่กลางเชิงพิธีกรรม แต่เป็นกลางเชิงอำนาจตามมาตรา 7, 8, 57 และ 60 ซึ่งระบุชัดว่า สทนช.สามารถกำหนดมาตรฐานข้อมูลทางน้ำ กำกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง และเสนอคำสั่งระดับนโยบายผ่านคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
นี่คือจุดที่หลายคนยังไม่เข้าใจ สทนช.ไม่ได้เกิดมาเพื่อแย่งงานใคร ไม่ได้มาแทนกรมชลประทาน ไม่ได้มาแทนอุตุฯ และไม่ได้มาแทน ปภ. แต่เกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำ คือ แปลงข้อมูลกระจัดกระจายของทุกหน่วยงานให้กลายเป็นความจริงเดียว แล้วส่งต่อเป็นคำสั่งเดียวของรัฐ
หากเรามีข้อมูลหลายแบบ ตีความหลายแบบ ผู้ว่าฯ อาจจะไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร ผลคือคำสั่งออกช้า หรือออกผิดทิศ และนั่นคือเหตุผลที่เรายังแพ้น้ำ ทั้งที่เรารู้น้ำจะมา รู้ว่าจะท่วมตรงไหน และรู้ว่าควรปิด-เปิดประตูน้ำเมื่อใด
📌ประเทศไทยจึงไม่ได้ขาดกฎหมาย ขาดวิศวกร หรือขาดข้อมูล แต่เราขาด “การอ่านกฎหมายเป็นสถาปัตยกรรม” เมื่อกฎหมายทั้งสามชั้นถูก activate ตามเจตนารมณ์ เราจะเห็นประเทศที่สั่งการบนความจริงเดียว ไม่ใช่ประเทศที่รอให้เหตุการณ์บังคับให้เราตัดสินใจ
และเมื่อวันนั้นมาถึง
📌น้ำจะไม่ใช่เจ้านายประเทศนี้อีกต่อไป
ประเทศต่างหาก ที่เป็นผู้สั่งการน้ำ
2
โฆษณา