9 ชั่วโมงที่แล้ว • การเมือง
ตอบเพิ่ม อีกบทความ ต่อจากบทความเดิม
ลองดูตัวอย่างเมืองนอกที่เขาเจริญแล้ว
ญี่ปุ่น
พอเกิดภัยพิบัติ ท้องถิ่นจะมีฐานข้อมูลประชากรอยู่แล้ว และจะเริ่มสำรวจเชิงรุกทันที เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ถึงบ้าน ใช้ระบบฐานข้อมูลร่วมกันระหว่างเทศบาล จังหวัด ส่วนกลาง ไม่ต้องให้ประชาชนมายื่นกระดาษซ้ำไปซ้ำมา คนไม่ต้องส่งเอกสารอะไรทั้งนั้น เพราะระบบข้อมูลเคหะ ทะเบียนบ้าน และภาพถ่ายดาวเทียมถูกเชื่อมกันหมด เขาจึงสามารถอนุมัติการช่วยเหลือเป็นล็อตใหญ่ ไม่ใช่อนุมัติทีละรายให้เสียเวลา
1
เกาหลีใต้
เขามีระบบชดเชยแบบ automatic payment ตรวจสอบความเสียหายผ่านระบบ GIS และฐานข้อมูลประกันภัยของรัฐ รัฐใช้ข้อมูลนี้ยืนยันได้ทันทีว่า บ้านหลังนี้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมระดับเท่าไหร่ คนไม่ต้องเขียนคำร้อง ไม่ต้องถ่ายรูปไปพิสูจน์เอง
1
เยอรมนี
เวลาน้ำท่วมหรือเกิดภัยพิบัติใหญ่ รัฐบาลอนุมัติ “กองทุนรวม” ให้ท้องถิ่นจัดสรรได้ทันที ไม่ต้องส่งเรื่องกลับส่วนกลางทุกเคสเหมือนบ้านเรา เพราะเขามองว่าความล่าช้า = ความเสียหายระดับชีวิต เขาจึงให้อำนาจท้องถิ่นเต็มที่ในการช่วยเหลือทันที แล้วค่อยตรวจสอบย้อนหลัง โรงเยียวยาจึงได้เร็ว ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
1
ทั้งหมดนี้คือหลักการเดียวกัน คือให้ระบบเดินเข้าหาประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนอุ้มแฟ้มเอกสารเดินไปหาผู้มีอำนาจ
1
ประเทศที่เจริญแล้วเขาเข้าใจว่าในภาวะภัยพิบัติ “ความเร็วคือความปลอดภัย” แต่ประเทศไทยยังติดกับดักอำนาจรวมศูนย์ ทุกอย่างต้องรอเซ็น รออนุมัติ รอตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอน้ำลดคนยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะระบบไม่ขยับ
1
นี่แหละครับคือประเด็นหลัก ไม่ใช่ว่าอนุมัติเป็นรายๆ ไปมันไม่ดี แต่ระบบของเรามันเทอะทะจนทำให้รายได้ช้า ทั้งที่เรามีตัวอย่างจากต่างประเทศที่เร็วกว่า ง่ายกว่า และเห็นหัวประชาชนมากกว่าให้ดูอยู่แล้ว
โฆษณา