เมื่อวาน เวลา 09:42 • ความคิดเห็น

ยี่สิบเอ็ดวันทุกวัน

ผมเพิ่งไปบรรยายให้กับบริษัทดาวรุ่งแห่งหนึ่ง ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นน้องๆที่น่าจะยังไม่ถึงสามสิบกัน พอบรรยายเสร็จก็จะมีคำถามยอดฮิตที่ผมเจอบ่อย ประมาณว่าเจอหัวหน้างานที่ไม่ค่อยโอเค เราทำยังไงถึงจะเปลี่ยนเขาได้ เพราะเราเองก็เป็นลูกน้อง จะทำอะไรเขาก็ไม่ค่อยฟัง
 
คำถามลักษณะนี้จะว่ายากก็ยากนะครับ เพราะคนเรานั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ง่าย ไม่เชื่อก็ถามตัวเองดูก่อนก็ได้ เราเองยังไม่ค่อยจะเปลี่ยนเลย แล้วจะไปให้คนอื่นเปลี่ยน เขาก็คงไม่ต่างจากเราเท่าไหร่
ส่วนใหญ่ผมเลยจะแนะนำน้องเขาไปว่า แทนที่จะเริ่มด้วยการคิดจะเปลี่ยนใครก็ตาม
ลองทำอะไรซักยี่สิบเอ็ดวันทุกวันกันก่อนดีมั้ย…
หลักการของยี่สิบเอ็ดวันทุกวันนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ก่อนจะไปคิดเปลี่ยนคนอื่น ลองเปลี่ยนตัวเองแบบง่ายๆ ก่อนน่าจะดีกว่า จะได้เข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงว่ามันต้องคิดอะไร เริ่มยังไง และยากแค่ไหน
พอเข้าใจแล้วก็อาจจะมีโนฮาวไปเปลี่ยนคนอื่นก็ได้นะครับ
ผมได้ไอเดียนี้มาจากการฟัง ted talk ของน้องฝรั่งอายุน้อยคนหนึ่งชื่อ filipe castro matos ที่ทดลองตื่นตีสี่ครึ่งทุกวันเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันติดกัน เป็นเรื่องเล็กๆที่มีผลต่อคนจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
น้อง matos เล่าถึงไอเดียประหลาดๆ นี้ว่า เกิดจากการที่เขาอยากแค่ทดลองทำอะไรที่ออกจาก comfort zone ของตัวเอง ลองทำอะไรที่ไม่คุ้นชินบ้าง
เขาได้ไอเดียง่ายๆจากการที่อ่านเจอว่าพวกซีอีโอเก่งๆในโลกมักจะมีนิสัยที่เหมือนกันคือตื่นเช้ามากประมาณตีสี่ครึ่ง กับเคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่ามีทฤษฏีเรื่องการทำอะไรติดกันเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวัน ถ้าทำได้ก็จะเกิดนิสัยใหม่
1
เขาก็เลยปวารณาตัวเองที่จะลองตื่นตีสี่ครึ่งทุกวันเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันดู เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะไปรอดหรือไม่ แต่อย่างน้อยการตั้งเป้าหมายอะไรแบบนี้ก็จะสามารถวัดได้ว่าทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แล้วก็ลองทำดู
1
พอเริ่มทำไปซักพักแล้ว update เรื่องราว ความรู้สึก ความท้าทาย ความยากลำบากและประสบการณ์ที่เจอเมื่อตื่นตีสี่ครึ่งลงโซเชียล ปรากฏว่าเริ่มมีคนสนใจ มาให้กำลังใจและเริ่มมาทำตามในรูปแบบต่างๆ จนตอนหลังเริ่มมีนิตยสารมาสัมภาษณ์ จนมีคนตามเป็นล้านๆคน กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา
เขาเลยสรุปบทเรียนจากการทดลองเปลี่ยนนิสัยตัวเองจากการตื่นตีสี่ครึ่งทุกวันผ่าน hashtag #21earlydays ไว้ว่า
ข้อแรก คือต้องหาผู้สนับสนุนตลอดการทดลองนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบกำลังใจหรือแม้แต่คนที่มาวิพากษ์หรือรอเราล้มเหลว เพราะจะเป็นแรงกดดันให้เราทำให้ได้ โดยน้อง matos ใช้ facebook เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงผลักนี้
ข้อสอง คนชอบดูอะไรที่มีความขัดแย้งที่น่าสนใจ ในกรณีคุณ matos ที่เป็นเด็กหนุ่มที่โดยวัยมีแต่ตื่นสายกันทั้งนั้น แต่พอเขาพยายามตื่นเช้ามากๆก็เลยดึงดูดความสนใจคนได้ดี
ข้อสาม การตื่นตีสี่ครึ่งไม่ใช่การอดนอนหรือนอนน้อย มีคนจำนวนมากมาถามเขาเรื่องนี้ว่าอดนอนแล้วจะดีเหรอ เขาก็แค่บอกว่าในการตื่นเช้าก็ต้องนอนเร็วขึ้นสามสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง bed early rise early เขาว่าอย่างนั้น
ข้อสี่ เอาอุปสรรคหรือเรื่องที่จะขวางทางการตื่นตีสี่ครึ่งออกให้หมด เพราะมันจะง่ายกว่าในการไปถึงเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
1
ข้อห้า สุขภาพที่ดีสำคัญมากที่จะทำให้นอนได้อย่างมีคุณภาพ เขาต้องเริ่มเปลี่ยนการกิน และออกกำลังมากขึ้น ทำให้เขาหลับได้เร็ว หลับที่ไหนก็ได้แค่ห้านาทีก็หลับแล้ว แล้วตื่นมาได้อย่างสดชื่นแม้จะเป็นเวลาตีสี่ครึ่งก็ตาม
1
ข้อหก ต้องไม่ snooze เพราะทำให้เสียเวลามากในช่วง snooze ต่อไปเรื่อยๆ แถมมีงานวิจัยบอกว่าช่วงที่ snooze นั้นไม่ดีต่อสุขภาพ snooze น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แย่มากๆของมนุษยชาติด้วยซ้ำ
ข้อเจ็ด จากการทำการทดลอง #21earlydays เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายต้องการการนอนแค่ประมาณ 6-7 ชั่วโมงก็สดชื่นแล้ว ก็เลยค้นพบว่าน่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์และน่าสนใจมากกว่าการพยายามนอนต่อยาวๆ
ข้อแปด พอทำไปเรื่อยๆ เข้านอนเร็ว นอนตามสมควร ตื่นแต่เช้า เขาได้เวลาทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกวันละสองชั่วโมง ทำให้เขามีเวลาเคลียร์งานเสร็จเร็วแล้วออกจากที่ทำงานเร็วไปมีเวลาสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง แถมได้โดนแสงแดดอันสวยงามของกรุงลิสบอนมากขึ้น ( matos เป็นคนโปรตุเกส)
ข้อเก้า พอตื่นเช้ามากๆในเวลาที่คนอื่นไม่ตื่นกันนั้น เขาก็จะมีเวลาเคลียร์อีเมล์ด้วยความสงบจนหมด ไม่มีไลน์เด้งมากวน เป็นความรู้สึกที่ดีมากในการเริ่มต้นของวัน
ข้อสิบ เขามีเวลาไปออกกำลัง ไปยิมมากขึ้นจากสองชั่วโมงที่ได้มาเพิ่ม แถมรู้สึกอีกว่าพอตื่นเช้าแล้วไปยิมกลับไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนตอนที่นอนดึกตื่นสายด้วยซ้ำ
ข้อสิบเอ็ด เขาได้เห็นวิว เห็นภาพ ได้ความรู้สึกใหม่ๆที่ไม่เคยได้เห็น ไม่ได้สังเกตมาก่อนในชีวิต ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ได้วิ่งตอนอากาศดีๆยามเช้า เป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ข้อสุดท้าย การทำอะไรแบบนี้ยี่สิบเอ็ดวันนั้น เราต้องมี “will” มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ก่อน แต่ถ้าเรามีความมุ่งมั่น มีคำสัญญากับตัวเองแล้ว ก็จะไม่มีอะไรหยุดเราได้ถ้าตั้งใจ
ทุกวันนี้ hashtag ของ matos ก็ยังมีคนใช้ ติดตามและทำตามอยู่เรื่อยๆ ทอร์คที่คุณ matos พูดที่ ted ก็มีคนดูเกือบสิบล้าน จากเรื่องเล็กๆที่เขาลองทำนอกจากส่งผลกับตัวเองในด้านต่างๆที่เขานึกไม่ถึง ผลกระทบต่อผู้อื่นทั่วโลกก็มากมายเหลือเกิน..
ผมเองก็มีความเชื่อคล้ายๆน้อง matos และเคยอ่านเจอเรื่องการพยายามทำอะไรยี่สิบเอ็ดวันอยู่เหมือนกัน รวมถึงเชื่อในเรื่อง power of habit ว่าการพยายามทำเรื่องอะไรใหม่ๆ แม้ว่าเป็นเรื่องเล็กๆก็ตามนั้น จะส่งผลทำให้นิสัยบางอย่างเปลี่ยนไป มีผลข้างเคียงที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นทุกครั้ง แถมทำให้เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงว่าต้องเริ่มจากตัวเองก่อนที่จะไปพยายามเปลี่ยนคนอื่น
นิสัยล่าสุดที่ผมภูมิใจและทำได้ต่อเนื่องมาหลายเดือนจากการเริ่มยี่สิบเอ็ดวันแรกก็คือการใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งสมัยก่อนก็รู้ทั้งรู้ว่าการใช้ไหมขัดฟันนั้นดีต่อสุขภาพฟันมาก แต่ก็ผัดวันประกันพรุ่ง ขัดวันนี้หยุดสามวันมานาน จนหมอฟันทักว่ามีปัญหาเรื่องเหงือก จนทำให้ผมต้องเริ่มนิสัยนี้ ขั้นแรกก็ตั้งไว้ยี่สิบเอ็ดวันก่อน ขัดทุกวัน ต่อให้ไปต่างจังหวัดลืมเอาไหมขัดฟันไปก็จะต้องไปตระเวนหาซื้อโดยไม่ให้พลาด
พอยี่สิบเอ็ดวันได้ก็ทำต่อได้จนวันนี้ ซึ่งก็ทำให้สุขภาพเหงือกและฟันดีขึ้นมาก
การทดลองเปลี่ยนอะไร ออกจาก comfort zone เป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันนั้น เป็นไปได้ทั้งเรื่องเล็กๆอย่างขัดฟัน ออกเดินทุกเช้า ไม่ snooze กินแอปเปิ้ลวันละลูก หรือแพล้งทุกวัน หรือง่ายๆแค่หยุดเล่นมือถือก่อนนอนสามสิบนาทีก็ได้
ถ้าอยากทำอะไรที่รู้อยู่ว่าไม่ดีและอยากถือโอกาสแก้ไขเช่นหยุดกินเหล้า หยุดสูบบุหรี่ อ่านหนังสือวันละสามสิบนาที หรือเรื่องที่อยากเปลี่ยนตัวเองในสายตาของคนอื่น เช่นการพยายามช่วยเหลือคนวันละหนึ่งครั้ง ก็ตั้งเป้าได้เช่นกัน แม้แต่เรื่องเล็กๆง่ายๆอย่างพยายามยิ้มให้คนข้างๆที่ทำงานทุกวัน ก็เป็นโจทย์ที่เราน่าจะลองกันได้ง่าย
หัวใจหลักๆของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าจะลองครั้งแรก ให้เอาที่ค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ แต่ถ้าพลาดไปหนึ่งวันต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ และเหมือนที่ matos บอก ประกาศหรือชวนเพื่อนทำด้วยกันก็จะยิ่งดี เพราะจะมีแรงพยุงไม่ให้เรายกเลิกง่ายๆ
ใกล้ปีใหม่แล้ว แทนที่จะคิด new year resolution ซึ่งคิดได้ก็จะทำไม่ได้ซะส่วนใหญ่ เริ่มอะไรทีละ 21 วันนั้นอาจจะมีผลต่อชีวิตมากกว่าก็ได้ และ การที่เราเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงผ่านตัวเอง นอกจากจะดีกับตัวเองที่จะได้นิสัยใหม่ๆที่มีประโยชน์คุ้มค่าแล้ว เราจะได้เข้าใจกระบวนการการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิบัติ และจะรู้ว่าจะเปลี่ยนอะไรนั้นไม่ง่ายเลย
1
แทนที่่เราจะพยายามคิดจะไปเปลี่ยนคนอื่นซึ่งนอกจากจะทำได้ยากและทำให้เราทุกข์แล้ว เอาเวลามาเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดีขึ้นทีละนิดกลับน่าจะคุ้มกว่ามาก
ผมใช้แนวคิดนี้ในการสร้างนิสัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในการใช้ไหมขัดฟัน ว่ายน้ำเย็น งดน้ำตาลจนน้ำหนักลง ไม่ดุลูก อ่านหนังสือ ฯลฯ พอทำอะไรได้ครั้งแรก พอเข้าใจกลไกของมันแล้ว เราก็จะสามารถสะสมนิสัยที่เปลี่ยนชีวิตเล็กๆน้อยๆ ได้ไม่ยาก
ใครมีไอเดียอยากทำอะไรยี่สิบเอ็ดวันทุกวันเขียนทิ้งไว้ในคอมเม้นท์ได้เลยนะครับ เอาใจช่วยทุกท่านที่คิดจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองกันนะครับ
#ยี่สิบเอ็ดวันทุกวัน
โฆษณา