11 ธ.ค. เวลา 13:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"LAST SAMURAI STANDING: เฉลยทุกจุด! ทำไมซีรีส์ต้องมี Futaba"

เชื่อว่าใครที่ได้ดูซีรีส์
“Last Samurai Standing: ศึกซามูไรผู้พิชิต”
จบกันไปแล้ว คงแอบรู้สึกรำคาญ หงุดหงิด
กับ "Futaba Katsuki" ตัวละครที่
ดูเป็นภาระที่สุดในเรื่องอยู่ไม่น้อย
ท่ามกลางศึก "โคโดคุ" (Kodoku - 蠱毒)
ซึ่งเปรียบเปรยถึงพิธีกรรมที่
นำ "แมลง" หรือสัตว์มีพิษทั้งหลาย
มายัดรวมกันไว้ในไหแล้วให้ฆ่ากันเอง
โดยตามตำนานเล่าว่าแมลงตัวสุดท้าย
ที่รอดจากไหโคโดคุจะกลายเป็น
สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุด
และจะถูกนำไปใช้งานโดยผู้ทำพิธี
ไม่ต่างอะไรกับการการนำ
ซามูไร 292 คนมาใส่ในเกมนี้
ที่คล้ายบอกว่าในสายตา
ของรัฐบาลใหม่และนายทุน
ซามูไรไม่ได้มีเกียรติยศดั่งนักรบอีกต่อไป
แต่เป็นเพียง "สัตว์มีพิษ" หรือ "สิ่งปฏิกูล"
ตกค้างจากยุคเก่าที่น่ารังเกียจและต้องกำจัดทิ้ง
ทางรอดเดียวคือ "การฆ่ากันเอง"
ซามูไรต้องฆ่าพวกพ้อง หรือ
ขายจิตวิญญาณดั้งเดิมทิ้ง
เพื่อเอาตัวรอดในระบบใหม่
ใครที่ยึดติดกับวิถีเก่าโดยไม่ปรับตัว
โดยเฉพาะผู้อ่อนแอจะถูกผู้อื่นกลืนกิน
ท่ามกลางความเข้มข้นดุเดือดของ
เหล่าซามูไรผู้กล้าแกร่งและเหี้ยมโหดทั่วแผ่นดิน
คอยฟาดฟันกันเอาเป็นเอาตาย เพียงเพื่อช่วงชิง
แผ่นป้ายและชีวิตผู้อื่นเพื่อไปให้ถึงโตเดียว
รอรับเงินแสนเยนที่เย้ายวล
แต่การปรากฏตัวของ "ฟุตาบะ"
เด็กสาวชาวบ้านที่ดูอ่อนต่อโลก
ต่อสู้ก็ไม่เป็น แต่ริอาจจับดาบเข้าร่วม
เพื่อจะนำเงินรางวัลไปช่วยแม่และพี่น้อง
ที่พากันล้มป่วยเป็นโรคอหิวาฯ ที่ระบาดในยุคนั้น
และมักจะร้องขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ
อาจทำให้ผู้ชมหลายคนเกิดคำถาม
ด้วยความหงุดหงิดว่า "จะใส่ตัวละครนี้มาทำไม?
เป็นตัวถ่วงชัดๆ! ซ้ำยังเพิ่มภาระให้พระเอกอีก "
สารภาพว่าตอนแรกผมก็เป็นคนหนึ่ง
ที่รู้สึกแบบนั้น จนดูไปส่ายหัวตาม
แต่พอมานั่งคิดวิเคราะห์อีกที
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเขามักจะแฝงนัยยะ
และแง่คิดเชิงปรัญชาเอาไว้เสมอในชิ้นงาน
ดังนั้นตัวละครนี้ก็ไม่น่าจะแค่ใส่มาลอยๆ
จนมองข้ามความน่ารำคาญผิวเผินนั้นไป
เลยพบว่าฟุตาบะคือ “จุดเปลี่ยนสำคัญ"
ที่เข้ามาพลิกชีวิตมือพิฆาตโคคุชู
และทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่
เกมซามูไรฆ่าแกงกันธรรมดา
มาอ่านกันครับว่าเพราะอะไร
.
.
.
1. นักสู้ที่ใช้ใจ มากกว่าดาบ
- หากมองภายนอก เราย่อมเห็นเพียงเด็กสาวเอวบางร่างน้อยที่จับดาบแบบเก้ๆ กังๆ พร้อมสีหน้าแววตาและท่าทางที่หวาดกลัวจากข้างใน นับเป็นเหยื่อชั้นดีต่อการเล่นงานและชิงแผ่นป้ายมาแบบไม่ต้องเหนื่อยอะไร แต่จริงๆ แล้วหัวใจเธอยิ่งใหญ่ และมีเดิมพันชีวิตสูงไม่แพ้ใครเลย
เพราะลำพังแค่ซามูไรที่ผ่านการฝึกปรือมาเป็นอย่างดี ก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าจะรอดคว้าเงินกลับไป นับประสาอะไรกับเด็กสาวตาดำๆ ที่ไม่ประสีประสาการต่อสู้เลย และฟุตาบะเองก็รู้ข้อนี้ดี แต่ด้วยโชคชะตาอันโหดร้าย ทั้งพี่น้องที่พากันล้มตาย และแม่ที่รำขอพรเทพมานานก็ยังป่วยตาม จากพิษอวิหาตกโรคที่ไม่ปราณีใคร
โดยเฉพาะคนยากไร้ในญี่ปุ่นยุคนั้น ที่ได้แต่รอวันสิ้นลมจากไป เช่นนี้เธอจึง “ไม่มีทางเลือก” จริงๆ นอกจากเสี่ยงชีวิตเข้าแลก แม้เพียง 0.00001% ที่จะรอดก็ต้องลอง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เมื่อเงินรางวัลคือทางรอดเดียวของทุกคนที่ยังรอเธอ
ทุกวินาทีที่เผชิญ ฟุตาบะเลยพยายาม “ใจดีสู้เสือ” เข้าต่อกร จับดาบตั้งท่ารอ จะรุกรับก็สู้แบบมวยวัดออกไป ไม่ยอมจำนนต่อชีวิตง่ายๆ แม้ระหว่างทางจะได้พระเอกอย่าง “ชูจิโร่ ซากะ” ยอดซามูไรในอดีตกาลมาช่วยชีวิตไว้และพากันร่วมทางไปต่อ คอยปกป้องเธอด้วยชีวิต แต่ฟุตาบะกลับไม่เคยคิดจะทำให้ตัวเองเป็นภาระแบบงอมืองอเท้า อะไรที่เธอทำแล้วเป็นประโยชน์กับเขาได้ก็จะช่วยหาทาง
อย่างตอนที่ชูจิโร่กำลังรับมือกับ “บุคตสึ คันจิยะ” อดีตซามูไรและนักรบรับจ้างผู้โหดเหี้ยม และกระหายการสู้ล้างตากับมิพิฆาตโคคุชูเป็นที่สุด ด้วยอาการ PTSD หรือภาวะทางใจหลังเหตุสะเทือนขวัญ ที่ทำให้พระเอกไม่ใช่คนเดิม มือสั่น หวั่นกลัว ไม่อาจชักดาบออกจากฝักได้เหมือนเคย การฝืนรับมือกับศัตรูผู้บ้าคลั่งต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบและอาจพ่ายได้ทุกเมื่อ ยังดีที่ฟุตาบะควบม้ามารับ พากันฝ่าฝนรอดพ้นเงื้อมมือมันไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น ระหว่างทางที่ร่วมฝ่าไปด้วยกัน แม้ชูจิโร่จะคอยปกป้องฟุตาบะได้ดีเหมือนเดิม แต่เธอก็ยังคงซุ่มแอบฝึกดาบตอนดึกๆ พร้อมบอกกับ “อิโรฮะ คินุงาสะ” ศิษย์น้องชูจิโร่ที่เดินมาซุ่มดูว่าข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใครอีกแล้วเจ้าค่ะ แม้ท่าทางฟันดาบของเธอจะยังไม่ได้ใกล้เคียงมาตรฐาน แต่ก็พยายามทุกอย่าง ทุ่มทุกทางที่จะเป็นไปได้เพื่อเอาตัวรอดเองได้บ้างและรับเงินกลับไปช่วยที่บ้าน
สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนน เธอรู้ว่าโอกาสชนะริบหรี่ ก็ยังเลือกที่จะ "สู้" ในแบบของเธอ ภาพนี้เองที่เป็นกระจกสะท้อนให้ชูจิโร่เห็นว่าขนาดเด็กสาวตัวเล็กๆ ยังไม่ทิ้งความหวัง แล้วซามูไรอย่างเขาจะยอมแพ้ได้ยังไง? และถ้าวันหนึ่งที่ฟุตาบะสามารถค้นพบความแข็งแกร่งในแบบเธอได้แบบที่อิโรฮะแนะนำ วันนั้นเธออาจเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของเขาและทีมขึ้นมาไม่มากก็น้อยเลย
2. เปลี่ยน "นักฆ่า" ให้กลายเป็น "ผู้พิทักษ์"
- นี่คือจุดสำคัญที่สุดของฟุตาบะ เพราะหากไม่มีเธอ ชูจิโร่ ซากะ ก็เป็นเพียงอดีตซามูไรตกอับที่สู้เพื่อเงิน มารักษาครอบครัวจากโรคเดียวกัน และยังคงสั่นระรัวกับอาการทางใจ สู้ไปถอยไป อาศัยเพียงไหวพริบและประสบการณ์ที่ผ่านมา นอกนั้นก็ไม่เห็นทางจะเอาชนะเกมได้เลย
เมื่อได้เจอคนที่อ่อนแอ ไร้ทางสู้แล้วยังพยายามสู้อย่างฟุตาบะ ไม่เพียงจุดไฟฮึดให้เขายิ่งต้องพยายามเช่นกัน หากแต่ยังสะท้อนภาพลูกสาวที่จากไปด้วยโรคอหิวาฯ แบบไม่มีโอกาสสู้ใดๆ เลย การได้เจอเด็กอีกคนที่กำลังต้องการการปกป้อง แล้วเขายังมีทั้งโอกาสและกำลังที่จะทำได้ มีหรือจะไม่ทำ อย่างน้อยสักครั้งขอให้ได้ปกป้องใครอีกสักคนก็ยังดี
และการจะทำแบบนั้นได้จริงๆ เขาก็ต้องยอม “ปลดล็อก” บาดแผลทางใจลงชั่วคราว กดมันไว้ จับดาบด้วยหัวใจ แม้ร่างกายจะยังสั่นก็ตาม จนสามารถกลับไปเป็นมือพิฆาตโคคุชูคนเดิมที่แกร่งกว่าเดิม เพราะการมีอยู่ของฟุตาบะทำให้ชูจิโร่ตระหนักได้ว่า เขาไม่ได้แค่กำลังเหวี่ยงดาบเพื่อเอาตัวรอด แต่กำลัง "แบกรับชีวิตบริสุทธิ์" ไว้บนบ่า
มันเปลี่ยนสมการจากการ "สู้เพื่อฆ่า" มาเป็น "สู้เพื่อใครสักคน" ซึ่งเป็นวิถีแห่งนักรบที่แท้จริง และทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เห็นลูกสาวอีกคนค่อยๆ เติบโต โดยมีแผ่นหลังและสองมือของเขาคอยคุ้มครอง
3. ตัวแทนแห่ง "ชีวิต" ท่ามกลาง "คนตาย"
- ซามูไรในเรื่องนี้ เปรียบเสมือน "วิญญาณเรร่อนจากยุคอดีต" ที่รอวันดับสลาย หรือคนตายที่ยังหายใจไปวันๆ เมื่อปราศจากดาบคู่กาย ชีวิตของพวกเขาจึงไร้ความหมาย เต็มไปด้วยความเหี่ยวเฉา ตึงเครียด และความหวาดระแวง แต่ด้วยความที่ฟุตาบะยังไม่ใช่ซามูไรซะทีเดียว จิตวิญญาณและการกระทำต่างๆ ของเธอจึงยังคงบริสุทธิ์สดใสจากข้างใน และนั่นทำให้กลุ่มพันธมิตรเฉพาะกิจของพวกเขา มีความแตกต่างขึ้นมา
ลองนึกภาพว่ากลุ่มที่มีแค่ชูจิโร่, เคียวจิน, อิโรฮะ อย่างเดียว การเดินทางคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เงียบงัน หวาดระแวงซึ่งกันและกัน แม้พี่ชูกับอิโรฮะจะค่อยๆ สานสัมพันธ์ศิษย์พี่-ศิษย์น้องบ้างแล้วก็ตาม แต่ความที่ทั้งสามต่างเป็นนักรบมาทั้งชีวิต การคิดอ่านของพวกเขาย่อมมีแต่สู้ชิงเหลี่ยมเพื่อเอาตัวรอดและคว้าชัยชนะ เงินเท่านั้นที่เป็นคำตอบเดียว ในทีมคงมีแต่พลัง “หยาง” ที่แข็งกร้าวไปอย่างน่าเสียดาย
แต่การมีอยู่ของฟุตาบะ ทำให้ทีมได้เติมความเป็น “หยิน” ที่ละเอียดอ่อน เปราะบาง ใช้หัวใจและความรู้สึกเป็นสื่อนำ ในเกมโคโดคุที่กฎกติกาบีบให้ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ศีลธรรมกลายเป็นของฟุ่มเฟือยที่ไม่มีใครอยากพกติดตัว แต่เธอคือคนเดียวที่กล้า "ทวงถาม" สิ่งนี้ขึ้นมา อย่างตอนที่กำลังจะฝ่าด่านกันไป
แต่แล้ว “ชิโนะสุเกะ” หนุ่มน้อยผอมแห้งที่จับพลัดจับผลูสู้กันแล้วได้รับความช่วยเหลือ ติดสอยร่วมทางมาด้วย กลับมีแผ่นป้ายไม่พอผ่านด่านพักจิริว ฝีมือก็ไม่มี ซ้ำยังดูขี้ขลาดเกินใคร ในตอนนั้นทำได้แค่กราบวิงวอนขอทุกคนยอมช่วยตน ซึ่งแน่นอนว่าในเกมที่เดิมพันสูงเช่นนี้ การสละแผ่นป้ายที่มี และดึงใครมาเป็นภาระเพิ่มย่อมเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง แม้แต่ชูจิโร่ที่มีเมตตาก็เห็นว่าครั้งนี้มันเกินกำลัง ชะตาใครชะตามัน เมื่อลงแข่งแล้วย่อมต้องรับให้ได้ และเขาเองก็มีฟุตาบะที่ต้องคอยปกป้อง
ขณะนั้นเองฟุตาบะกลับเป็นคนเดียวที่กล้าลุกขึ้นมาช่วยร้องเรียก ร่ำไห้ และขอร้องให้ทุกคนช่วยจากหัวใจ จนชายฉกรรจ์และอีกหนึ่งหญิงงามผู้เย็นชา ต่างค่อยๆ ลดกำแพงลง และพากันฉุกคิดขึ้นมาว่า "พวกเรายังเป็นคนกันอยู่หรือเปล่า?" ก่อนจะยอมสละแผ่นป้ายช่วยชีวิตเด็กหนุ่มในที่สุด ไม่ใช่เพราะสงสารชิโนะสุเกะซะทีเดียว แต่อย่างน้อยฟุตาบะก็ทำให้จำได้ว่าพวกเขาเคยเป็นใคร
“ข้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเองก็อาจจะถูกฆ่าเหมือนกัน แต่ถ้าข้าหันหลังให้ชีวิตที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้ข้ารอดหลังจากนี้ ข้าก็คงไม่อาจเดินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าท่านแม่ข้าได้”
ฟุตาบะ พูดทั้งน้ำตาก่อนจะเดินเอาแผ่นป้ายของไปให้ชินโนสุเกะ
ความอ่อนไหว ใส่ใจเพื่อนมนุษย์ของฟุตาบะ ได้ "ปลุกจิตสำนึก" ที่หลับใหลของเหล่าซามูไรให้ตื่นขึ้นมา กระนั้นความใส่ใจของเธอก็ยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ระหว่างเดินทางต่อก็รีบเข้าไปขอโทษชูจิโร่ทันทีที่ทำให้เขาและพรรคพวกต้องลำบากกว่าเดิม ทั้งที่ช่วยชีวิตเธอมาตลอดทาง แต่นอกจากจะไม่ต่อว่าแล้ว ชูจิโร่ยังขอบคุณฟุตาบะด้วยใจเช่นกัน “เจ้าพูดถูก เราช่วยทุกคนไม่ได้หรอก แต่ถ้าข้าหันหลังให้กับคนที่ข้าช่วยได้ คงละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าเมียข้าได้”
และเพราะความจริงใจ ตรงไปตรงมานี้เอง ก็ทำให้ฝั่งโคโดคุผู้จัดแข่งเกมแอบสงสารฟุตาบะ จนเผลอหลุดปากออกมาว่าถ้าได้เป็น 1 ใน 9 คนสุดท้ายก็เท่ากับมีโอกาสรอด ทำเอาแม้แต่คนลึกลับอย่างเคียวจินยังเอ่ยปากชมว่าทำได้ดีมากฟุตาบะ ทีมเองก็วางแผนกันต่อได้ง่ายขึ้น มีความหวังกันมากขึ้น
“ใครจะรู้ เจ้าอาจเป็นผู้ที่กุมกุญแจไขปริศนาโคโดคุอยู่ก็เป็นได้ ฟุตาบะ” -
เคียวจิน
“ในที่สุดข้าก็เจอความหวังบ้างสักที ฟุตาบะ เป็นเพราะเจ้าเลยนะ”
- ชูจิโร่
กระทั่งใน Ep.6 ซึ่งเป็นตอนจบของซีซั่นแรกนี้ เมื่อชูจิโร่ อิโรฮะ และฟุตาบะไปถึงงานเทศกาลยามค่ำคืน ณ ศาลเจ้าชินโต ขณะที่การแข่งขั้นกำลังทวีความเข้มข้นขึ้น ผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียง 63 คน พร้อมมหันตภัยร้ายอย่าง “เก็นโตไซ” กำลังสั่นกระดิ่งแห่งความตายย่างกรายเข้ามาทุกลมหายใจ เพื่อตามเก็บพวกชูจิโร่ที่เป็นอดีตศิษย์สำนักเคียวฮาจิทีละคน
ก่อนหน้านั้นเราก็ได้เห็นโมเมนต์น่ารักๆ ให้พอได้ผ่อนคลาย เมื่อชูจิโร่บอกฟุตาบะให้ปล่อยใจ ปล่อยจอย ไปเต้นกับชาวบ้านดู เพราะไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะยังได้อยู่ด้วยกันอีกมั้ย และการเฝ้าดูเธอกำลังเริงระบำด้วยสายตาอันเปล่งประกาย สุขใจ ก็ทำเอาหัวใจที่อ่อนล้าโรยแรงของมือพิฆาตโคคุชู เหมือนได้รับการปลอบประโลมจนยิ้มได้ออกมา แม้แต่อิโรฮะที่ยืนข้างๆ ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของศิษย์พี่ที่กำลังมองเด็กสาวคนหนึ่ง ราวกับพ่อกำลังมองลูกด้วยความภูมิใจ
ท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึมเช่นนี้ การที่ฟุตาบะไปเต้นรำกับกลุ่มชาวบ้านอย่างสนุกสนาน จึงไม่ใช่การกระทำที่ไร้สาระ แต่มันคือสัญลักษณ์เชิงปรัชญาว่า "ความสุขยังหาได้ แม้ในนรกที่หายาก" บางทีชีวิตที่ยังคงต่อสู้ ก็ควรได้พักหายใจและสัมผัสความงดงามของโลกใบนี้บ้าง ก่อนที่จะต้องกลับไปจับดาบฆ่าคนในวันรุ่งขึ้น
มองผิวเผินในภายนอก “ฟุตาบะ” อาจจะเป็นภาระก็จริง แต่ในเชิงจิตวิญญาณ เธอคือกุญแจที่ค้ำจุนไม่ให้ความเป็นมนุษย์ของเหล่าตัวเอกต้องทลายลง
หากโคโดคุ คือ ไหที่เต็มไปด้วยพิษร้าย ฟุตาบะก็คือ "ดอกไม้ดอกเดียวที่บานอยู่ในไหนั้น" เป็นเครื่องเตือนใจสุดท้ายว่า ทำไมพวกเขาถึงยังต้องสู้ และโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่คุ้มค่าให้ปกป้องอยู่จริง,,,
โฆษณา