Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รายการ ต้นรู้ โลกรู้ BY : Anurak News
•
ติดตาม
11 ธ.ค. เวลา 13:26 • ข่าว
สรุปสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้
เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568
คือ หนึ่งในสถานการณ์ที่ท้าทายระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะปริมาณน้ำฝนที่สูงผิดปกติและสภาพภูมิประเทศที่อ่อนไหวต่อการเกิดน้ำหลาก
แต่เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทำให้เห็นว่าโครงสร้างที่ออกแบบไว้บนกระดาษต้องเผชิญแรงกดดันอย่างไรเมื่อเจอวิกฤตจริง
กล่าว คือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการพัฒนากฎหมาย แผนงาน และองค์กรกลางด้านการจัดการภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
จนถึงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570
โดยมีหลักการชัดเจนว่าการจัดการภัยต้องมีเอกภาพ มีผู้บัญชาการเหตุการณ์คนเดียวในแต่ละระดับ และใช้กลไกมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมหาดใหญ่ทั้งความซับซ้อนของพื้นที่ ผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก และการตัดสินใจที่ต้องทำแบบเร่งด่วน ทำให้ระบบต้องทำงานหนักกว่าปกติ จนเผยให้เห็นจุดท้าทายเชิงนโยบายที่ควรนำกลับมาทบทวน เช่น การซ้อนทับของศูนย์บัญชาการหลายชุด การเปิดใช้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกัน และภารกิจที่หลากหลายซึ่งต้องประสานกันระหว่างท้องถิ่น จังหวัด ส่วนกลาง และหน่วยงานพิเศษ
บทความนี้จึงไม่ได้ต้องการที่จะชี้หาความผิด แต่ต้องการชวนผู้อ่านมาทำความเข้าใจว่ากลไกการจัดการภัยพิบัติของไทยถูกออกแบบไว้อย่างไร เหตุใดโครงสร้างนี้จึงทำงานได้ดีในบางครั้ง แต่ติดขัดในบางสถานการณ์ และอะไรคือบทเรียนเชิงนโยบายจากกรณีหาดใหญ่ที่เราควรนำไปพัฒนาระบบให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่าภัยพิบัติไม่ใช่ความล้มเหลวของใครคนหนึ่ง แต่เป็นโอกาสให้เราทบทวนโครงสร้าง สร้างความชัดเจนในการสั่งการ และพัฒนาระบบให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์รุนแรงในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
น้ำท่มหาดใหญ่
กลไกที่ถูกออกแบบมาอย่างดี: ICS–EOC–MACs ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ถ้าเรามองเฉพาะบนกระดาษ ระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยไม่ได้แย่เลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามประเทศไทยมีกฎหมายหลักคือ พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570
ที่วางโครงสร้างการสั่งการไว้อย่างชัดเจน ยึดหลักการบัญชาการหนึ่งเดียว หรือ Single Command ไล่ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค จนถึงระดับชาติ ทั้งยังมีการบูรณาการสามกลไกสำคัญอย่าง Incident Command System (ICS), Emergency Operations Center (EOC) และ Multi-Agency Coordination System (MACs) เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ภัยสี่ระดับกับคนสั่งการคนเดียวในแต่ละชั้น เมื่อพิจารณาลงลึกไปในโครงสร้างจะพบว่า หัวใจของกฎหมายฉบับนี้ คือ การกำหนดระดับภัยควบคู่กับผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน ระดับแรกสุดคือ ภัยระดับ 1 เมื่อเหตุยังจำกัดอยู่ในพื้นที่หนึ่ง ๆ ขอบเขตความรับผิดชอบจึงอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีนายก อบต. หรือ นายกเทศมนตรีเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ของตนเอง มีอำนาจเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน ระดมกำลังคน รถ เครื่องสูบน้ำ และกลไกในชุมชนมาตอบสนองอย่างทันท่วงที นี่คือแนวหน้าของระบบทั้งหมด
ขณะเดียวกันหากสถานการณ์เกินขีดความสามารถของท้องถิ่น เช่น น้ำท่วมหลายตำบล หรือกระทบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เหตุจะถูกยกระดับเป็น ภัยระดับ 2 ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าฯ กทม. (กรณีเหตุการณ์เกิดขึ้นในกทม.) จะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ มีอำนาจสั่งการหน่วยงานส่วนภูมิภาค และประสานขอทรัพยากรจากระดับชาติผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เมื่อภัยลุกลามหลายจังหวัดในภูมิภาคเดียวกันภัยจะถูกยกระดับเป็น ภัยระดับ 3 กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จะเข้ามาเปิดศูนย์บัญชาการส่วนหน้า โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยรับบทผู้บัญชาการส่วนหน้า ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างหลายจังหวัดกับส่วนกลาง
สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงมากจนมีผลกระทบระดับประเทศ จะเข้าสู่ ภัยระดับ 4 เปิดกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ จะเป็นผู้สั่งการสูงสุด
ซึ่งในโลกของแบบเรียน การไต่ระดับลักษณะนี้หมายความว่าการบัญชาการถูกส่งต่อจากท้องถิ่นขึ้นสู่จังหวัด ภูมิภาค และชาติทีละขั้น โดยในแต่ละช่วงเวลาควรมีผู้บัญชาการเพียงคนเดียวในพื้นที่เดียว เพื่อให้เกิดเอกภาพในการสั่งการและการสื่อสาร แต่ปัญหาของกรณีหาดใหญ่คือในพื้นที่เดียวกันกลับมีศูนย์บัญชาการหลายชุดและผู้นำหลายคนเกินกว่าที่ระบบนี้ออกแบบไว้
สามฟันเฟืองหลัก: ICS, EOC และ MACs นอกจากนี้เพื่อให้โครงสร้างสี่ระดับนี้ทำงานได้จริง ไทยนำแนวคิดสากลสามตัวมาประกอบเข้าด้วยกัน ได้แก่
1) Incident Command System (ICS) เป็นโครงร่างบัญชาการในพื้นที่เกิดเหตุ โดย ICS จะทำหน้าที่จัดระเบียบว่าใครคือผู้บัญชาการเหตุการณ์ ใครรับผิดชอบด้านความปลอดภัย ข้อมูลข่าวสาร การประสานงาน และใครคุมฝ่ายปฏิบัติการ วางแผน ลอจิสติกส์ และการเงิน ระบบนี้เองจึงทำให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ ปภ. อปท. ไปจนถึงหน่วยแพทย์ฉุกเฉินใช้ภาษาเดียวกัน เห็นภาพสถานการณ์เดียวกัน และรับคำสั่งจากเส้นสายการบังคับบัญชาเดียวกัน ลดปัญหาคำสั่งทับซ้อนที่เรามักเห็นเวลาเกิดวิกฤตใหญ่
2) Emergency Operations Center (EOC) ส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นสมองส่วนหลังของระบบ ต่างจาก ICS ที่อยู่หน้าเหตุ ขณะที่ EOC จะอยู่ในที่มั่นคงกว่า เช่น ศาลากลางจังหวัดหรือศูนย์บัญชาการกลาง มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลสถานการณ์จากพื้นที่ วิเคราะห์แนวโน้มภัย จัดลำดับความสำคัญของภารกิจ และจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนให้ทีมหน้าเหตุทำงานได้ต่อเนื่อง ซึ่งโดยทั่วไป EOC จะค่อย ๆ ปรับระดับการทำงาน ตั้งแต่การเฝ้าระวังในภาวะปกติ ไปจนถึงการเปิดศูนย์เต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงที่ภัยรุนแรง
3) Multi-Agency Coordination System (MACs) คือกลไกประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ในระดับนโยบาย
เมื่อมีหลายจังหวัด หลายหน่วย และหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน MACs จะเป็นเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงมานั่งโต๊ะเดียวกัน มองภาพใหญ่ร่วมกัน และตัดสินใจว่าเหตุไหนต้องได้รับทรัพยากรหรือความช่วยเหลือก่อน กำลังคนและงบประมาณจำกัดควรถูกส่งไปตรงไหน และจะหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนหรือการแย่งทรัพยากรกันอย่างไร ซึ่งในระบบของไทยบทบาทนี้ถูกออกแบบให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและกอปภ. กลางเป็นกลไกหลัก
9 จังหวัดกับสถานการ์น้ำท่วม
สุดท้ายเมื่อมองทั้งสามส่วนประกอบเข้าด้วยกัน เราจะเห็นภาพว่า ICS เป็นแขนขาในพื้นที่ EOC เป็นสมองที่ประสานข้อมูลและสนับสนุนด้านหลัง และ MACs เป็นส่วนหัวที่คิดยุทธศาสตร์และจัดสรรทรัพยากรระดับชาติ และหากทุกอย่างดำเนินไปตามแบบที่วางไว้ ก็เป็นไปได้ว่าระบบควรจะมีสายการบังคับบัญชาที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ระดับหมู่บ้านถึงทำเนียบรัฐบาล
ประเทศที่จัดการน้ำดีที่สุด
เขื่อนประเทศเนเธอร์เเลนด์
เจาะ 3 ประเทศบริหารน้ำ ‘ขั้นเทพ’ จากเคยพังจากน้ำ สู่ความสำเร็จ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ บทเรียนที่ไทยต้องเร่งนำไปใช้
เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน การรับมือน้ำท่วมไม่อาจอาศัย ‘กำแพง’ หรือ ‘ความหวัง’ ได้อีกต่อไป โลกกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศที่รอดน้ำท่วมไม่ใช่ประเทศที่โชคดี แต่คือประเทศที่ ‘เตรียมตัวเก่งกว่า’ พาดู 3 ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่เคยพังเพราะน้ำ แต่พลิกวิกฤติ เป็นจัดการปัญหาน้ำได้สำเร็จ
📌เนเธอร์แลนด์ จากประเทศเสี่ยงจม สู่แชมป์โลกด้านบริหารน้ำ
หากเอ่ยถึงประเทศที่เสี่ยงจมสมุทรมากที่สุด เนเธอร์แลนด์คือหนึ่งในนั้น เนื่องจากกว่า 26% ของพื้นที่ “อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล” และเกือบครึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
จุดเปลี่ยนของประเทศเกิดขึ้นหลัง “อุทกภัยครั้งใหญ่ปี 1953” ซึ่งทำให้เขื่อนแตก มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,800 คน และกว่า 100,000 คน กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย
จากวิกฤติครั้งนั้น เนเธอร์แลนด์ได้สร้างโครงการระดับประวัติศาสตร์ “Delta Works” เครือข่ายเขื่อน ประตูระบายน้ำ กำแพงกันคลื่น และระบบควบคุมระดับน้ำ เพื่อปกป้องพื้นที่ชายฝั่งและควบคุมการไหลของแม่น้ำตลอดปี
หัวใจสำคัญของ Delta Works อยู่ที่ “ความฉลาดของการอนุญาตให้น้ำไหลอย่างมีทิศทาง” ไม่ใช่การปิดกั้นน้ำทั้งหมด เมื่อเกิดคลื่นพายุ ประตูยักษ์จะปิดเฉพาะจุดที่จำเป็น เพื่อปกป้องพื้นที่อยู่อาศัย แต่ยังรักษาการหมุนเวียนของระบบนิเวศทะเล–แม่น้ำไว้
ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ เมื่อเจอภัยน้ำท่วม จะใช้วิธี “ตั้งรับแบบเดิม” คือ สร้างกำแพงให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกันน้ำออกจากเมือง
.
แต่ปัญหาคือ เมื่อกำแพงสูงขึ้น น้ำที่ถูกกันออกไปจะท่วมขังนาน หรือไหลแรงขึ้นในพื้นที่อื่น ยิ่งหากฝนตกหนักกว่าที่คาด น้ำก็อาจล้นกำแพง อีกทั้งเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องสร้างกำแพงใหม่ให้สูงขึ้นอย่างไม่รู้จบ รวมถึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงน้ำทะลักแบบควบคุมไม่ได้ หากกำแพงที่สร้างต้านแรงน้ำไม่ไหวแล้ว
นี่คือ “การชนกับธรรมชาติ” และสุดท้ายมนุษย์ยากจะชนะ เพราะธรรมชาตินั้นทรงพลัง และเปลี่ยนเร็วกว่าโครงสร้างเทคโนโลยีที่มนุษย์จะสร้างทัน
แต่เนเธอร์แลนด์ “เลือกคิดต่างจากโลก” ประเทศนี้ไม่ได้มองน้ำว่า เป็นศัตรูที่ต้องผลักออกให้พ้น แต่เชื่อว่าความมั่นคงที่แท้จริง เกิดขึ้นได้จาก “การอยู่ร่วมกับน้ำอย่างฉลาดและเป็นระบบ”
โครงการ Room for the River คือแบบอย่างของแนวคิดดังกล่าว โดยรัฐยอมสละพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ เช่น ทุ่ง สวน และพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงของเมืองปลายน้ำเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น
วิธีคิดนี้ตรงข้ามกับการสร้างกำแพงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแทนที่จะแข่งขันกับธรรมชาติ เนเธอร์แลนด์เลือกอยู่ร่วม “ไปกับธรรมชาติ”
📌ญี่ปุ่น เอาชนะน้ำด้วยวิศวกรรมใต้ดินระดับโลก
แม้ภูมิประเทศญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่นซึ่งรุนแรงขึ้นทุกปี ฝนฟ้าคะนองเฉียบพลัน และน้ำป่าไหลหลากจากเทือกเขาที่ล้อมรอบเมือง
ญี่ปุ่นก็ไม่เคยยอมจำนนต่อภูมิอากาศไม่เป็นมิตร แต่ตอบสนองด้วยการวิจัย วิศวกรรม และการออกแบบเมืองที่ล้ำหน้า
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การตัดสินใจของรัฐบาลในการสร้าง “อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน G-Cans”
โครงการนี้เป็นเสมือน “เมืองใต้ดินขนาดมหึมา” ที่รับหน้าที่ปกป้องมหานครโตเกียว อยู่ลึกลงไปใต้ผืนดินราว 50 เมตร ยาว 6.3 กิโลเมตร และเชื่อมต่อกับแม่น้ำและคลองหลายสายในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม
.
เมื่อเกิดฝนตกหนักหรือไต้ฝุ่น น้ำจากลำคลองจะถูกส่งลงสู่ถังเก็บน้ำแรงดันขนาดใหญ่ 5 ถังที่เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ขนาดมหึมา น้ำถูกกักเก็บไว้ในใต้ดิน แทนที่จะเอ่อล้นเข้าชุมชน
📌สิงคโปร์ บังคับอาคารเอกชนติดระบบกักน้ำ ลดภาระรัฐ
เดิมทีใจกลางเมืองสิงคโปร์เคยเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก การขยายตัวของเมืองทำให้พื้นที่รับน้ำลดลง
ดังนั้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงสร้าง “Marina Barrage” ขึ้น
Marina Barrage คือเขื่อนอัจฉริยะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สิ่งที่โดดเด่นคือ การทำหน้าที่สามอย่างพร้อมกันในโครงการเดียว
1. กันน้ำทะเลไม่ให้ไหลย้อนเข้าท่วมเมือง
2. รองรับและควบคุมน้ำฝน เพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมในช่วงมรสุม
3. เก็บสำรองน้ำจืด สำหรับใช้เป็นน้ำดิบของประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น สิงคโปร์ยังออกกฎหมายบังคับให้ “อาคารเอกชน” จัดการน้ำฝนด้วยตนเอง เพื่อลดภาระระบบระบายน้ำของรัฐ
ข้อกำหนดยกตัวอย่างเช่น อาคารเอกชนต้องมีถังเก็บน้ำฝน ลาน สวน และดาดฟ้าต้องซึมซับน้ำได้ รวมถึงอาคารใหญ่ต้องมีระบบกักเก็บน้ำ ผลลัพธ์คือ ระบบระบายของภาครัฐไม่โอเวอร์โหลด และช่วยให้การระบายน้ำในเมืองทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เหล่านี้คือ “สามโมเดลตัวอย่าง” ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการน้ำ ซึ่งไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้ในการรับมืออุทกภัยอนาคต
เรียบเรียงโดยอาจารย์ต้นสัก สนิทนา
#เขื่อน #การจัดการน้ำ #ภาคใต้ #น้ำท่วม #สิ่งเเวดล้อม #ข่าว
ไทย
ภาคใต้
ข่าว
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย