Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ด.ดล Blog
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 02:09 • ธุรกิจ
จากผู้สร้าง สู่ผู้ถูกลืม เกิดอะไรขึ้นกับ Panasonic Lumix? ทำไมคนแรกที่ทำ Mirrorless ถึงแพ้ให้ Sony
ก็ต้องบอกว่าในทุกวันนี้กล้อง “Mirrorless” ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการถ่ายภาพไปแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็พกพากล้องที่ไร้กระจกสะท้อนภาพนี้ไปทุกที่
แต่ถ้าลองถามคนรุ่นใหม่ว่า ใครคือผู้นำในตลาดนี้ หลายคนคงตอบชื่อของ Sony หรือไม่ก็ Canon อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่รู้หรือไม่ว่า ผู้ที่ให้กำเนิดนวัตกรรมนี้ ผู้ที่กล้าตัดกระจกทิ้งเป็นคนแรกในวันที่โลกยังหัวเราะเยาะ กลับไม่ใช่แบรนด์เหล่านั้น
แต่คือ Panasonic
บริษัทที่เคยสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการถ่ายภาพ แต่วันนี้กลับมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มพรีเมียมเหลือเพียงแค่ 7.7% เท่านั้น
1
เกิดอะไรขึ้นกับผู้บุกเบิกรายนี้ ทำไมเทคโนโลยีที่พวกเขาสร้างขึ้นถึงกลายมาเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
และในวันที่บริษัทแม่หันไปสนใจแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อนาคตของแบรนด์กล้องอย่าง Lumix จะเป็นอย่างไร
เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางธุรกิจ แต่มันคือบทเรียนราคาแพงของคำว่า “นวัตกรรม” และ “จังหวะเวลา”
…
ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกในตอนนั้นช่างแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง กล้องดิจิทัลยังมีขนาดใหญ่เทอะทะ และหน่วยความจำขนาด 16 Megabytes ก็ถือว่าเป็นของหรูหราแล้ว
ในเวลานั้น Panasonic บริษัทที่ผู้คนจดจำในฐานะผู้ผลิตทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ตัดสินใจกระโดดเข้าสู่สมรภูมิกล้องถ่ายภาพเป็นครั้งแรก
พวกเขาไม่ได้มาเล่นๆ แต่มาพร้อมกับพันธมิตรระดับตำนานอย่าง Leica ผู้ผลิตเลนส์ชั้นนำจากเยอรมนี เพื่อสร้างสรรค์กล้องที่ไม่ใช่แค่บันทึกภาพ แต่ต้องบันทึกความรู้สึกได้
1
แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งปี 2008…
ในยุคนั้น กล้องระดับมืออาชีพคือ DSLR ที่ต้องมีกระจกเงาและแท่งแก้ว Pentaprism ขนาดใหญ่เพื่อสะท้อนภาพเข้าสู่ตาเรา
Panasonic มองเห็นอนาคตที่ต่างออกไป พวกเขามองว่ากระจกเหล่านั้นคืออดีตที่ถ่วงความเจริญ จึงตัดสินใจร่วมมือกับ Olympus พัฒนาระบบใหม่ที่เรียกว่า Micro Four Thirds
และนั่นคือวินาทีประวัติศาสตร์ เมื่อกล้องรุ่น DMC-G1 ถือกำเนิดขึ้นในฐานะกล้อง “Mirrorless” ตัวแรกของโลก
ไม่มีกระจก ไม่มีช่องมองภาพแบบออปติคอล มีเพียงเซนเซอร์และหน้าจอดิจิทัลที่แสดงผลตามความเป็นจริง
ในตอนแรก วงการกล้องต่างตั้งคำถามและดูแคลนว่านี่อาจเป็นเพียงของเล่นสำหรับมือสมัครเล่น แต่ Panasonic ไม่สนใจเสียงเหล่านั้นและยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไป
จนกระทั่งวันหนึ่ง โลกก็หมุนตามพวกเขา…
เมื่อคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Sony เริ่มเห็นโอกาสและกระโดดเข้ามาทำตลาดนี้อย่างจริงจัง ตามมาด้วย Fujifilm และสุดท้ายแม้แต่เจ้าตลาดเดิมอย่าง Canon และ Nikon ก็ต้องยอมจำนน
จากผู้ถูกหัวเราะเยาะ กลายเป็นผู้นำเทรนด์ Panasonic คือผู้ชนะในยกแรกของการปฏิวัติ
แต่ในโลกธุรกิจ การเป็น “ผู้มาก่อน” ไม่ได้การันตีว่าคุณจะเป็น “ผู้ชนะ” ตลอดไป เพราะทันทีที่คุณพิสูจน์ว่าตลาดนี้มีจริง คู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าก็พร้อมจะกระโจนเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งไปทันที
เมื่อถึงปี 2019 สงคราม Mirrorless ดุเดือดถึงขีดสุด Sony ครองความเป็นเจ้าตลาดด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ส่วน Canon และ Nikon ก็เริ่มตั้งหลักได้
Panasonic รู้ดีว่าขืนอยู่เฉยๆ คงไม่รอด พวกเขาจึงตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดด้วยการก้าวเข้าสู่ตลาด Full-frame
การเปิดตัว Lumix S1 และ S1R คือคำประกาศสงคราม มันไม่ใช่แค่กล้อง แต่มันคือปีศาจทางเทคโนโลยีที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับเทพ
งานวิดีโอที่ยอดเยี่ยม ระบบกันสั่นที่นิ่งเหมือนใช้ขาตั้งกล้อง และความทนทานที่ไว้ใจได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ
แต่ในความสมบูรณ์แบบนั้น กลับมี “จุดตาย” เล็กๆ ซ่อนอยู่ จุดที่กลายเป็นแผลลึกให้กับแบรนด์มาอย่างยาวนาน
นั่นคือระบบ “Autofocus”
ในขณะที่คู่แข่งทุกรายหันไปใช้ระบบ Phase Detection บนเซนเซอร์ ซึ่งทำให้กล้องสามารถล็อกโฟกัสที่ดวงตาและวัตถุเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
แต่ Panasonic กลับเลือกที่จะ “ดื้อ”
พวกเขายืนกรานที่จะใช้เทคโนโลยีที่ตัวเองพัฒนาขึ้นมาที่เรียกว่า DFD หรือ Depth From Defocus
ระบบนี้ใช้การวิเคราะห์ความเบลอของภาพเพื่อหาจุดชัด ซึ่งในทางทฤษฎีมันฉลาดมาก แต่ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะงานวิดีโอ มันกลับสร้างปัญหา
อาการโฟกัสวูบวาบ หรือที่เรียกว่า Hunting กลายเป็นฝันร้ายของช่างภาพวิดีโอ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถ่ายงานสำคัญ แล้วจู่ๆ ภาพก็กระตุกเบลอไปมาเพื่อหาโฟกัส
รีวิวจากทั่วโลกออกมาในทิศทางเดียวกัน กล้องดีทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องโฟกัส…
ความดื้อรั้นในการยึดติดกับเทคโนโลยีของตัวเอง เริ่มถูกมองว่าเป็นความมั่นใจที่ผิดที่ผิดทาง
1
แทนที่จะปรับตัวตามความต้องการของตลาด Panasonic กลับพยายามอธิบายว่าระบบของตนดีอย่างไร ในขณะที่ลูกค้าค่อยๆ เดินจากไปทีละคนสองคน
จนกระทั่งส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม Full-frame ของพวกเขาหล่นลงมาอยู่ที่ 7.7%
ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่มันคือสัญญาณอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ภายในบริษัทแม่ก็เริ่มเปลี่ยนไป Panasonic Holdings เริ่มมองหาอนาคตใหม่ที่ไม่ใช่กล้องถ่ายรูป
ในปี 2025 มีข่าวการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ การลดพนักงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง และการโยกทรัพยากรไปลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด
แผนกกล้องที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ กลายเป็นเพียงธุรกิจดั้งเดิมที่ต้องดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ความคุ้มค่า
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ บริษัทจะยังลงทุนในธุรกิจที่มีส่วนแบ่งน้อยนิดนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน…
สถานการณ์ดูเหมือนจะมืดมน แต่แล้วในปี 2025 นั่นเอง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น
หลังจากปล่อยให้แฟนคลับรอคอยและผิดหวังมานานถึง 5 ปี Panasonic ตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว
การเปิดตัว Lumix S1R II มาพร้อมกับสิ่งที่เขียนไว้ข้างกล่องว่า “Phase Hybrid Autofocus”
1
ในที่สุด พวกเขาก็ยอมกลืนเลือด ยอมทิ้งทิฐิ และยอมรับเทคโนโลยีมาตรฐานของอุตสาหกรรม
แต่นี่ไม่ใช่แค่การลอกการบ้าน เพราะเมื่อ Panasonic ตัดสินใจทำ พวกเขาทำให้สุด
ระบบโฟกัสใหม่ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แก้ไขจุดอ่อนเดิมจนหมดสิ้น พร้อมกับการอัปเดต Firmware ให้กับกล้องรุ่นเก่าๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เสียงตอบรับจากชุมชนคนรักกล้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยูทูบเบอร์ที่เคยส่ายหน้ากลับมาชื่นชม
นี่คือการกลับมาที่งดงาม แม้จะมาช้าไปถึง 5 ปี
แต่คำถามคือ มันสายไปหรือเปล่า?
ในวันที่ Sony และ Canon ครองตลาดส่วนใหญ่ไปแล้ว ตัวเลข 7.7% จะสามารถเติบโตได้มากแค่ไหนในอุตสาหกรรมที่กำลังหดตัว
ความจริงที่โหดร้ายคือ ต่อให้ผลิตภัณฑ์ดีแค่ไหน แต่ถ้ามาช้ากว่าคู่แข่ง โอกาสที่จะทวงคืนบัลลังก์ก็เป็นเรื่องยาก
แต่เดี๋ยวก่อน…
บางทีเป้าหมายของ Panasonic ในตอนนี้ อาจไม่ใช่การกลับไปเป็นที่หนึ่ง
ในโลกที่ธุรกิจถูกผูกขาดโดยยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย การมีอยู่ของ “ทางเลือกที่สาม” นั้นสำคัญกว่าที่เราคิด
Panasonic เลือกที่จะยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง คือการเป็นแบรนด์ที่เข้าใจ “คนทำหนัง” และ “นักเล่าเรื่อง” มากที่สุด
พวกเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพไฟล์ สีสัน และความยืดหยุ่นในการทำงาน มากกว่าแค่ตัวเลขสเปกบนกระดาษ
…
หากวันนั้น Panasonic ไม่กล้าตัดกระจกทิ้ง วันนี้เราอาจยังต้องแบกกล้องหนักๆ กันอยู่ก็ได้
การที่พวกเขายังคงสู้ต่อ แม้ในวันที่ส่วนแบ่งการตลาดเหลือเพียงเลขหลักเดียว และบริษัทแม่หันไปโฟกัสเรื่องอื่น
มันแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณบางอย่าง จิตวิญญาณของผู้สร้างสรรค์ที่ไม่ยอมแพ้
การเดิมพันครั้งสุดท้ายนี้ อาจไม่ได้ทำให้พวกเขากลับมาชนะในเกมของยอดขาย แต่ถ้าพวกเขาสามารถรักษาที่ยืนเล็กๆ นี้ไว้ได้ และยังคงสร้างเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมต่อไป
นั่นอาจเป็นชัยชนะในรูปแบบของการ “อยู่รอด”
และสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา การมีทางเลือกย่อมดีกว่าเสมอ เพราะถ้าวันหนึ่ง Panasonic หายไป เราจะสูญเสียมากกว่าแค่แบรนด์กล้อง
แต่เราจะสูญเสียบริษัทที่กล้าหาญพอที่จะเปลี่ยนโลก แม้ว่าสุดท้ายโลกอาจจะลืมพวกเขาก็ตาม…
References [dpreview, petapixel, cameralabs, nikkei, panasonic, bcnretail]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here
https://www.tharadhol.com/what-happened-to-the-panasonic-lumix/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย -->
https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
คลิกเลย -->
https://www.blockdit.com/articles/5cda56f1e5eac0101e278c73
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
Website :
www.tharadhol.com
Blockdit :
www.blockdit.com/tharadhol.blog
Fanpage :
www.facebook.com/tharadhol.blog
Twitter :
www.twitter.com/tharadhol
Instragram :
instragram.com/tharadhol
TikTok :
tiktok.com/@geek.forever
Youtube :
www.youtube.com/c/mrtharadhol
Linkedin :
www.linkedin.com/in/tharadhol
ธุรกิจ
เทคโนโลยี
ญี่ปุ่น
3 บันทึก
5
2
3
5
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย