13 ธ.ค. เวลา 02:09 • ธุรกิจ

ปิดฉาก Metaverse? ทำไม Facebook ถึงยอมทิ้งฝัน แล้วหันมาซบ AI

เคยลองจินตนาการเล่น ๆ ไหมครับว่า เงินจำนวน 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ 2.4 ล้านล้านบาท นั้นมากมายมหาศาลขนาดไหน
เงินจำนวนนี้มากพอที่จะใช้บริหารประเทศเล็ก ๆ ได้ทั้งปี หรือสามารถนำไปสร้างตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกเรียงต่อกันได้หลายสิบตึก
แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีชายคนหนึ่งตัดสินใจใช้เงินจำนวนนี้ไปกับ “ความฝัน” ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี
ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือความว่างเปล่า จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า นี่อาจจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำครั้งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีหรือไม่
ชายคนนั้นคือ Mark Zuckerberg และบริษัทของเขาคือ Meta
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2021 โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด ผู้คนทั่วโลกถูกล็อกดาวน์ให้อยู่แต่ในบ้าน การทำงานและการใช้ชีวิตถูกบีบให้เข้าไปอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน
ช่วงเวลานั้นเองที่ Mark Zuckerberg มองเห็นโอกาสบางอย่างที่คนอื่นอาจจะยังมองไม่เห็น
เขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า อินเทอร์เน็ตในยุคต่อไปจะไม่ใช่แค่การที่เราจ้องหน้าจอ 2 มิติอีกต่อไป แต่เราจะสามารถ “เข้าไปใช้ชีวิต” ในนั้นได้จริง ๆ
ความเชื่อนั้นแรงกล้าจนทำให้ Facebook บริษัทโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของโลก ตัดสินใจประกาศรีแบรนด์ตัวเองครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta
เขาประกาศก้องให้โลกรู้ว่า นับจากนี้ไป พวกเขาคือบริษัทที่จะมุ่งเน้น Metaverse เป็นอันดับแรก หรือที่เรียกว่า Metaverse-first
Mark Zuckerberg วาดภาพอนาคตไว้อย่างสวยหรูว่า Metaverse คือผู้สืบทอดที่แท้จริงของ Mobile Internet
มันจะเป็นดินแดนดิจิทัลที่มนุษย์จะเข้าไปทำงาน ประชุม พบปะสังสรรค์ หรือแม้แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตในโลกใบนั้น
ภาพฝันนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่เชื่อ แต่กระแสในตอนนั้นรุนแรงมากจนฉุดไม่อยู่…
บริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Grayscale ถึงขั้นออกมาบอกว่า นี่คือโอกาสทางธุรกิจระดับ “ล้านล้านดอลลาร์”
แม้กระทั่งประเทศบาร์เบโดส ก็ยังตื่นเต้นถึงขนาดไปเปิดสถานทูตใน Decentraland ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโลกเสมือนชื่อดังในยุคนั้น
แต่ในโลกธุรกิจ ความจริงมักจะโหดร้ายกว่าความฝันเสมอ…
1
เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี สิ่งที่ Meta ได้รับกลับมาจากการทุ่มเงินมหาศาลผ่านหน่วยงานที่ชื่อว่า Reality Labs กลับกลายเป็นฝันร้ายทางการเงิน
ตัวเลขขาดทุนสะสมกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ ถูกเผาผลาญไปกับค่าวิจัยและพัฒนาที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด
เงินจำนวนมหาศาลถูกนำไปใช้สร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่ยังดูเป็นภาพเหลี่ยม ๆ กราฟิกที่หลายคนวิจารณ์ว่าเหมือนย้อนกลับไปเล่นเกมยุค 90
เราได้เห็น Avatar ที่ดูแข็งทื่อ เคลื่อนไหวผิดธรรมชาติ และมีบั๊กเต็มไปหมด
รวมถึงอุปกรณ์ Headset ราคาสูงลิ่วที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง และยังไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องซื้อมาใช้งาน
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับ Meta อาจไม่ใช่เรื่องเงินที่เสียไป แต่เป็นเรื่องของ “ผู้ใช้งาน”
มีข้อมูลที่น่าตกใจจาก Bloomberg ระบุว่า ในปี 2022 ฐานผู้ใช้งานจริงของแพลตฟอร์มโลกเสมือนของพวกเขานั้นน้อยจนน่าใจหาย
ในบางช่วงเวลา ตัวเลขผู้ใช้งานที่แอคทีฟจริง ๆ อาจจะมีเพียงแค่หลักสิบคน ซึ่งสวนทางกับเงินลงทุนระดับหมื่นล้านอย่างสิ้นเชิง…
1
ปัญหามันอยู่ที่ไหน?
คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่เจ็บปวด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Value Proposition หรือคุณค่าที่ส่งมอบให้ผู้ใช้งานนั้น “ยังไม่ชัดเจน”
สำหรับคนทั่วไปอย่างเรา การต้องเอาอุปกรณ์หนัก ๆ มาสวมหัวเพื่อเข้าไปประชุมงาน หรือคุยกับเพื่อนในร่างการ์ตูน มันยังไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าดีกว่าการวิดีโอคอลผ่านมือถือที่เราคุ้นเคย
ผู้คนยังไม่มีเหตุผลมากพอที่จะทิ้งสมาร์ตโฟนหรือแล็ปท็อป เพื่อย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น
แม้ Mark Zuckerberg จะพยายามผลักดันแค่ไหน แต่ข้อจำกัดทางเทคโนโลยีก็ยังเป็นกำแพงที่สูงลิ่ว
ทั้งเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดไว น้ำหนักของแว่นที่กดทับใบหน้า และอาการวิงเวียนศีรษะที่ทำให้หลายคนเล่นได้ไม่เกิน 15 นาที
ทำให้คอนเทนต์ส่วนใหญ่ใน Metaverse ยังคงจำกัดอยู่แค่กลุ่มคนเล่นเกมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ยังไม่สามารถขยายวงกว้างไปสู่คนทั่วไปได้จริง…
เมื่อความฝันเริ่มสวนทางกับความเป็นจริง แรงกดดันจึงถาโถมเข้าใส่ Mark Zuckerberg จากทุกทิศทาง โดยเฉพาะจาก Wall Street
นักลงทุนเริ่มหมดความอดทน พวกเขาบ่นกันมาหลายปีว่า Metaverse คือสิ่งที่ดึงความสนใจและทรัพยากรของบริษัทไปโดยเปล่าประโยชน์
มันคือหลุมดำที่สูบเงินสดของบริษัทไปมหาศาล โดยไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีนัยสำคัญ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่บ้านพักส่วนตัวของ Mark Zuckerberg บนเกาะฮาวาย
เขาเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงเพื่อทบทวนงบประมาณปี 2026
บรรยากาศในวันนั้นคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะโจทย์ที่เขาโยนลงกลางโต๊ะคือการ “ตัดลดค่าใช้จ่าย”
เขาขอให้ผู้บริหารทุกแผนกหาทางลดต้นทุนลง 10%
แต่สำหรับแผนก Reality Labs ที่เป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวน และเป็นคนสร้าง Metaverse นั้น กลับโดนสั่งให้ลดลึกกว่านั้น…
รายงานระบุว่า Meta เตรียมที่จะหั่นงบประมาณของ Reality Labs ลงมากถึง 30% ซึ่งถ้าคิดเป็นตัวเงิน ก็หมายถึงเงินหายไปราว 4,000 ถึง 6,000 ล้านดอลลาร์
การตัดงบครั้งนี้ไม่ใช่แค่การประหยัดค่ากระดาษหรือลดค่าไฟ แต่แผลจะลึกไปถึงโครงสร้างหลักของโครงการ
ทั้งแพลตฟอร์ม Horizon Worlds ที่เคยเป็นความหวัง และทีมฮาร์ดแวร์ตระกูล Quest ที่ต้องถูกลดขนาดลง
ที่สำคัญ ข่าวร้ายสำหรับพนักงานคือ การเลิกจ้างอาจจะเกิดขึ้นระลอกใหม่ในช่วงต้นปีหน้า
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า แม้แต่บริษัทที่รวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ก็ไม่สามารถแบกรับภาระจากสิ่งที่เรียกว่า Money Sink ได้ตลอดไป
ทันทีที่มีข่าวว่า Meta จะลดงบประมาณส่วนนี้ลง ตลาดหุ้นตอบรับในทางบวกทันที
หุ้นของ Meta พุ่งขึ้นกว่า 4% เพิ่มมูลค่าบริษัทไปอีกเกือบ 70,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่า นักลงทุน “รอ” เวลานี้มานานแล้ว
นักวิเคราะห์จาก Huber Research ถึงกับกล่าวว่า “นี่เป็นก้าวที่ฉลาด แต่แค่ช้าไปหน่อย”
แต่ถ้าคุณคิดว่า Mark Zuckerberg จะยอมแพ้และกลับไปทำแค่แอปฯ โซเชียลมีเดียเหมือนเดิม คุณกำลังคิดผิด
เพราะการถอยจาก Metaverse ในครั้งนี้ ไม่ใช่การยกธงขาว แต่เป็นการ “เปลี่ยนม้าศึก” กลางสมรภูมิ
สิ่งที่เข้ามาแทนที่ความหลงใหลเดิม คือสิ่งที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ นั่นคือ AI…
ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ ตอนนี้โลกเทคโนโลยีไม่ได้หมุนรอบ Metaverse อีกต่อไปแล้ว แต่มันหมุนรอบ Generative AI
การมาถึงของ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ทำให้ทุกบริษัทต้องปรับตัว และ Meta ก็ไม่อยากตกขบวนรถไฟขบวนนี้
มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ ในปีนี้ Meta คาดการณ์ว่าจะใช้เงินลงทุนเกี่ยวกับ AI สูงถึง 72,000 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้เกือบจะเท่ากับเงินทั้งหมดที่พวกเขาเคยขาดทุนไปกับ Metaverse ตลอด 4 ปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
เงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกนำไปทุ่มให้กับ Data Centers ศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ การพัฒนาโมเดล Llama และการสั่งซื้อชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด
คำถามคือ ทำไมนักลงทุนถึงยอมให้ Mark Zuckerberg เผาเงินกับ AI มากขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งเจ็บตัวจาก Metaverse มาหมาด ๆ
เหตุผลก็คือ AI เป็นสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า
มันเห็นผลลัพธ์ในเชิงธุรกิจได้ชัดเจนกว่า และที่สำคัญ มันสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจหลักของ Meta ได้ทันที
เช่น การยิงโฆษณาที่แม่นยำขึ้น หรือการแนะนำคอนเทนต์ใน Facebook และ Instagram ซึ่งต่างจาก Metaverse ที่ต้องรอโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายปี
แล้ว Metaverse ตายไปแล้วหรือยัง?
คำตอบคือ ยังไม่ตายเสียทีเดียว แต่ถูกลดบทบาทลงอย่างมาก
โฆษกของ Meta ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ฆ่าโครงการนี้ทิ้ง แต่กำลังโยกย้ายเงินลงทุนไปสู่สิ่งที่ดูมีอนาคตกว่า นั่นคือแว่นตา AI Glasses และอุปกรณ์สวมใส่
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือความสำเร็จของแว่นตาอัจฉริยะ Ray-Ban Smart Glasses ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างเทคโนโลยีกับแฟชั่นที่ลงตัว
Mark Zuckerberg เคลมว่ายอดขายของแว่นรุ่นนี้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในปีที่ผ่านมา
นี่คือจุดกึ่งกลางที่น่าสนใจ แทนที่จะพยายามลากคนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนที่ตัดขาดจากโลกความจริง
Meta กำลังพยายามเอาความอัจฉริยะของ AI มาซ้อนทับอยู่บนโลกความจริงผ่านแว่นตาแทน
ซึ่งดูเหมือนว่า นี่อาจจะเป็นวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องและทำเงินได้จริงในตอนนี้…
การที่ Meta กล้าที่จะตัดเนื้อร้าย ยอมรับความเจ็บปวดจากการขาดทุน และรีบปรับทิศทางองค์กรไปสู่ AI แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น ซึ่งเราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ก็กำลังทำแบบเดียวกัน
Apple ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อรองรับ AI
Microsoft ทบทวนความคุ้มค่าของการลงทุน
Google และ Amazon ต่างทุ่มเงินสร้างโครงสร้างพื้นฐาน Cloud เพื่อรองรับสงคราม AI
สัญญาณทุกอย่างชี้ชัดว่า โครงการไหนที่ไม่ทำเงิน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ AI จะถูกตัดทิ้ง
และ Metaverse ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของสมรภูมินี้…
ในการแถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุด เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่า ผู้บริหารของ Meta แทบไม่ได้เอ่ยคำว่า Metaverse ออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
มันเหมือนกับคำต้องห้ามที่เตือนใจถึงความผิดพลาดในอดีต
สุดท้ายแล้ว การเดิมพันครั้งใหม่กับ AI จะลงเอยด้วยความสำเร็จ หรือจะเป็นหลุมดำทางการเงินหลุมใหม่ เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ โลกเทคโนโลยีไม่เคยรอใคร
และคนที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดเท่านั้น คือผู้ที่จะได้ไปต่อในเกมนี้…
References : [fortune, bloomberg, reuters, scmp, grayscale]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/ending-the-metaverse/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา