13 ธ.ค. เวลา 04:01 • การศึกษา

Social skills ควรมาพร้อมกับ Executive function skills

การฝึกทักษะสังคมอย่างเดียวจึงมักได้ผลแค่ในห้องฝึก แต่ไม่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง (หรือทำได้บางบริบทเท่านั้น) เพราะนักเรียนยังจัดการอารมณ์ไม่ได้ ยืดหยุ่นไม่ได้ เมื่อสิ่งรอบ ๆ ตัวไม่เป็นเหมือนตอนที่เขาเรียน หรือไม่เป็นไปตามบท จะทำให้เขาไม่สามารถปรับตัวได้ เพราะสถานการณ์เปลี่ยน และกดดันจน EF overload
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเด็กบางคน “ทำได้ในห้องฝึก แต่ทำไม่ได้ในสนามจริง” เพราะทักษะทางสังคมฝึก “ความรู้” แต่ EF ฝึก “การใช้งานจริง”
ทางออกคือ งานวิจัยของ Burroughs และคณะ (2024) แสดงให้เห็นว่า “ทักษะสังคมที่ดี” ของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึม ไม่ได้เกิดจาก Social skills เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี ระบบ EF ที่แข็งแรงพอจะใช้ทักษะนั้นในเวลาจริง ดังนั้น ผมจึงอยากนำเสนอแนวทางช่วยเหลือดังต่อไปนี้
1. ต้องฝึก EF ควบคู่กับ Social Skills ในอดีต ครูและนักบำบัดมักใช้ Social Skills Training (SST) ในรูปแบบ “ฝึกกติกา” เช่น ฝึกสบตา ฝึกรอคิว ฝึกทักทาย ฝึกเล่นร่วมกัน แต่ปัญหาคือ เด็กทำได้ใน “ห้องฝึก” แต่ทำไม่ได้เมื่ออยู่ในสนามจริง เพราะ EF ยังไม่แข็งแรง ดังนั้น การฝึกต้องเสริม EF เข้าไปด้วย เช่น
1.1 ฝึกการยับยั้ง (Inhibition Games) สามารถใช้เกมง่าย ๆ ที่ทำให้เด็ก “รอ หยุด และเปลี่ยนทิศทาง” เช่น ไซม่อนพูด (Simon Says) หรือเกมที่เล่นเลียนแบบการทำตามคำสั่งที่ขึ้นต้นด้วย "ไซม่อนพูดว่า..." หรือ เกมจับคู่ที่ต้องรอคำสั่งก่อน ช่วยให้เด็กยับยั้งการพูดแทรก การเดินหนี หรือการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม
1.2 ฝึกความยืดหยุ่นทางความคิด โดยการเปลี่ยนกติกาของเกมกะทันหัน หรือให้เด็กลองคิดวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีเดิม เพื่อลดการยึดติด และช่วยให้เด็กปรับตัวเมื่อเพื่อนเปลี่ยนหัวข้อหรือเล่นไม่ตามแผน
1.3 ฝึกจัดการอารมณ์ สอนเด็กให้ใช้สัญญาณมือ แทนการระเบิดอารมณ์ หรือให้เด็กวัดอารมณ์ของตนเองด้วย Thermometers หรือ สอนกลยุทธ์หายใจลึก 4–4–4 เพื่อลดภาวะสูญเสียการควบคุมตนเอง (Meltdown) เพิ่มความสามารถทนต่อเสียงดัง ความวุ่นวาย และแรงกดดันทางสังคม
1.4 ใช้ Visual Schedule งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า การเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ช่วยลดการทำงานหนักของสมองส่วนบริหาร เพราะเด็กไม่ต้อง “เดา” ว่าต้องทำอะไร เพื่อช่วยให้เด็กเข้าสังคมได้ดีขึ้นเพราะรู้ขั้นตอนและคาดเดาสถานการณ์ได้
2. ต้องมองเด็กหญิงให้ต่างจากเด็กชาย เพราะเด็กหญิงมักใช้ EF เพื่อทำตัวให้ปกติมากกว่าเด็กชาย จึงดูเหมือนไม่มีปัญหา ทั้งที่เหนื่อยล้าและเก็บกด นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Social Camouflaging หรือ Masking งานวิจัยพบว่าเด็กผู้หญิงจะ พยายามเลียนแบบพฤติกรรมเพื่อน ฝืนยิ้ม ฝืนสบตา พยักหน้าตามมารยาท พูดน้อยเพื่อไม่ผิดคิว และพยายามไหลตามกลุ่มแม้จะเครียดมาก ดังนั้นต้องให้พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์มากกว่า
3. ประเมินทักษะทางสังคม ควบคุมกับ EF (สามารถใช้ SRS-2 ควบคู่กับ BRIEF-2) หลายโรงเรียนหรือคลินิกประเมินเฉพาะ วัดทักษะสังคมผิวเผิน แต่ขาดการวัด EF ในชีวิตจริง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาพลวงตาว่า “เด็กสังคมดีแล้ว” ทั้งที่ EF ยังอ่อนแอมาก เมื่อใช้สองแบบประเมินคู่กัน จะเห็นว่า “ปัญหาสังคม” มาจากอะไรกันแน่ ความรู้ด้านสังคม หรือ EF
ตัวอย่างผลที่อาจพบ SRS-2 (สังคม) คะแนนดี เด็กสามารถรู้หลักสังคม แต่ BRIEF-2 (สมองส่วนบริหาร) คะแนนแย่ เด็กทำไม่ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการวางแผนสอนและบำบัด เพราะถ้าไม่ประเมิน EF เราจะไม่เห็น “รากของปัญหา” จึงเห็นเหตุที่ทักษะสังคมของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมไม่ดีขึ้น แม้ฝึกมานาน
ดังนั้น ทักษะสังคมของนักเรียนออทิซึมฯ ไม่ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่พยายาม แต่เพราะเรายังไม่ได้ช่วยใน “ระบบปฏิบัติการสมอง” ที่ควบคุมทักษะนั้น ๆ ทักษะทางสังคมคือสิ่งที่นักเรียนควรรู้ สมองส่วนบริหารคือสิ่งที่ทำให้นักเรียนใช้ความรู้ได้จริง
และการเข้าใจนักเรียนออทิซึมเพศหญิงได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้เราไม่พลาดนักเรียนที่ดูดีภายนอก แต่เหนื่อยล้าภายใน
อ้างอิง
Burroughs, C., Muscatello, R. A., & Corbett, B. A. (2024). The role of everyday executive function in observed social symptoms of autism spectrum disorder. Journal of Autism and Developmental Disorders, 54(5), 1–15. https://doi.org/10.1007/s10803-023-06253-5
โฆษณา