14 ธ.ค. เวลา 11:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ

MASTER — เมื่อการเติบโต กลายเป็นต้นทุนที่แพงเกินไป

มีช่วงเวลาหนึ่งที่ชื่อของ MASTER – บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) ถูกพูดถึงในฐานะหุ้นศัลยกรรมความงามที่มาถูกที่ ถูกเวลา และถูกธีมตลาดไปหมดทุกอย่าง
ตลาดยังเชื่อในหุ้นเติบโต
นักลงทุนยังกล้าให้ Valuation สูง
ธุรกิจความงามยังถูกมองว่าเป็นเมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันถอยหลัง
MASTER เข้า mai ด้วยราคา IPO 46 บาท ขายที่ P/E เกือบ 37 เท่า ระดมทุนได้เกือบ 3,000 ล้านบาท พร้อมคำสัญญาที่ฟังดูสมเหตุสมผลในเวลานั้น รายได้จะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 40% ต่อปี และอัตรากำไรสุทธิจะยืนระดับ 20%
วันนั้น เรื่องเล่าทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ
โรงพยาบาลศัลยกรรมครบวงจร
ชื่อเสียงแพทย์
กระแสโซเชียล
และเงินสดก้อนใหญ่จาก IPO
แต่ตลาดทุนไม่เคยตัดสินบริษัทจาก “ความฝัน”
มันตัดสินจาก “ความสามารถในการควบคุม” และ “ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง”
สองปีหลังเข้าตลาด MASTER ดูเหมือนเติบโตขึ้นในสายตาคนทั่วไป ชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ขยายกิจการต่อเนื่อง และย้ายจาก mai เข้า SET ได้สำเร็จ แต่ถ้ามองผ่านงบการเงิน เรื่องเล่ากลับเริ่มเปลี่ยน
รายได้ไม่ได้เติบโตตามที่เคยสัญญา
ต้นทุนและค่าใช้จ่ายขยายตัวเร็วกว่า
อัตรากำไรเริ่มถูกบีบ
แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ค่อย ๆ หายไป
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การพังแบบฉับพลัน แต่มันคือการ “ค่อย ๆ หลุดมือ” ทีละจุด โดยที่หลายคนยังไม่ทันรู้ตัว
เงินจาก IPO ถูกนำไปใช้เกือบทั้งหมดกับการขยายผ่านการซื้อกิจการและการร่วมลงทุน MASTER เข้าไปเกี่ยวข้องกับดีล M&A และ JV จำนวนมาก ครอบคลุมตั้งแต่คลินิกเสริมความงาม ธุรกิจปลูกผม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ไปจนถึงธุรกิจโฆษณาและโรงพยาบาลเฉพาะทาง
ดีลเหล่านี้ฟังดูดีบนกระดาษ เต็มไปด้วยคำว่า Synergy แต่โครงสร้างการถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่เพียงระดับ 30–40% เงินออกไปแล้ว ภาระเริ่มเข้ามา แต่การควบคุมกลับไม่เต็มมือ
ในช่วงที่ตลาดยังดี ทุกอย่างถูกกลบด้วยราคาหุ้น MASTER เคยขึ้นไปแตะระดับ 100บาท และถูกยกเป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของหุ้นหลัง IPO
จนกระทั่งวันหนึ่ง ราคาหุ้นเริ่มทำหน้าที่ของมัน
พูดความจริงแทนบริษัท
ต้นปี 2568 หุ้น MASTER เริ่มอ่อนแรงผิดปกติ ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน ก่อนจะมาถึงเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กลางเดือนมกราคม ผู้ถือหุ้นใหญ่ทำ Big Lot กว่า 11 ล้านหุ้น ที่ราคา 37 บาท ต่ำกว่าราคา IPO เหตุผลอย่างเป็นทางการคือการเพิ่ม Free Float หลังเข้า SET สำเร็จ
ตลาดไม่ได้ตัดสินจากเหตุผล
ตลาดตัดสินจากพฤติกรรมและผลลัพธ์
ก่อนวัน Big Lot ราคาหุ้นอ่อนตัวอย่างผิดสังเกต หลังจากนั้นแรงขายไม่เคยหายไป ความเชื่อมั่นที่เคยมี เริ่มพังลงอย่างรวดเร็ว จังหวะเวลายิ่งทำให้ตลาดตั้งคำถาม เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงที่งบไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นงบที่กำไรสูงสุด กำลังถูกพูดถึงพอดี
จากวันนั้นเป็นต้นมา MASTER ไม่เคยกลับไปเหมือนเดิม
ราคาหุ้นไหลลงต่อเนื่อง จากหลักร้อย เหลือหลักสิบ และในที่สุด เหลือเพียงเลขตัวเดียว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการแตกพาร์
ไม่มีการเพิ่มทุน
ไม่มี Dilution
สิ่งเดียวที่หายไป คือ “ศรัทธา”
เมื่อราคาหุ้นพัง ปัญหาภายในที่เคยถูกซ่อนก็เริ่มโผล่ขึ้นมาทีละเรื่อง แพทย์และทีมการตลาดทยอยลาออก ผู้บริหารระดับสูงย้ายไปอยู่กับคู่แข่ง ทีมการตลาดทั้งชุดถูกดึงตัวออกไปด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่าหลายเท่า
สิ่งที่น่ากลัวกว่าการลาออก คือการรั่วไหลของกลยุทธ์ การประชุมสำคัญมีข้อมูลหลุดไปถึงคู่แข่งในเวลาอันสั้น แผนการตลาด แพ็กเกจราคา และแนวทางการทำธุรกิจ ถูกลอกเลียนแบบอย่างรวดเร็ว
นี่ไม่ใช่ปัญหาของคนเพียงไม่กี่คน
แต่มันคือสัญญาณของการล่มสลายด้านระบบ วัฒนธรรม และการกำกับดูแล
วันนี้ MASTER ดูเหมือนเป็นหุ้นที่ “ราคาถูก”
P/E ลดลงมาแถว 13 เท่า
EPS ราว 0.66 บาท
คำถามสำคัญไม่ใช่ว่าหุ้นลงมาเท่าไร
แต่คือ
นี่คือบริษัทที่กำลังจะฟื้น
หรือเป็นเพียงตัวอย่างของการเติบโตที่เร็วเกินกว่าความสามารถในการควบคุม
หุ้นบางตัวไม่ได้พังเพราะงบ
แต่มันพังเพราะคนที่ควรเชื่อ เลือกไม่อยู่
คำตอบทั้งหมด จะถูกพูดตรง ๆ ใน Part 2 (สำหรับสมาชิก)
Part 2 (สมาชิก)
MASTER ยังมีทางรอดจริงหรือไม่ หรือสิ่งที่เห็นทั้งหมด เป็นเพียงภาพสุดท้ายของหุ้นที่ตลาดไม่เชื่ออีกต่อไป
ถ้าคุณเคยถือ MASTER ถ้าคุณกำลังมองหุ้น Turnaround หรือถ้าคุณอยากแยกให้ออกว่า “ของถูก” กับ “ของพัง” ต่างกันตรงไหน คำตอบอยู่ต่อจากนี้
#MASTER #หุ้นไทย #หุ้นศัลยกรรม #บทเรียนตลาดทุน #IPO #MAndA #GrowthStock #ValueTrap #SET #mai #หุ้นปันปัน
โฆษณา