21 ธ.ค. เวลา 12:19 • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ “เมืองน่าน” ดินแดนแห่งงาช้างดำริมน้ำ และบทบาททางเศรษฐกิจจากอดีตถึงปัจจุบัน

“น่าน” นับว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มาอย่างยาวนานอีกจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือ ตลอดจนเป็นจังหวัดหรือเมืองที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตกาล ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ ทรัพยากร ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำคัญ ในอดีตน่านมีบทบาทในฐานะของดินแดนเกลือ ในขณะที่ปัจจุบันน่านเองก็มีบทบาทในภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยวอยู่เหมือนกัน
แต่กว่าที่ “เมืองน่าน” จะกลายมาเป็นจังหวัดน่านที่เรารู้จักกันอยู่ทุกวันนี้นั้น ก็นับว่าผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มามากมายหลายเหตุการณ์ โดยมีต้นกำเนิดของเมืองเป็นเรื่องราวตำนานที่ถูกเล่าขานมาอย่างยาวนานผ่าน “พงศาวดารเมืองน่าน”
⭐ “พงศาวดารเมืองน่าน” ตำนานและประวัติศาสตร์เมืองน่าน
ในพงศาวดารเมืองน่าน ฉบับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ได้เล่าถึงกำเนิดของเมืองน่านเอาไว้ในรูปแบบที่มีการเสริมแต่งให้เป็นตำนานอย่างหนึ่ง โดยกล่าวถึงต้นกำเนิดของราชวงศ์ภูคาซึ่งเป็นราชวงศ์แรกที่ปกครองพื้นที่เมืองน่านเอาไว้ว่าเมื่อครั้งพระยาภูคาเป็นผู้ปกครองเมืองย่าง (แถบ อ.ท่าวังผา) ได้มีพรานผู้หนึ่งได้แกะรอยตัวเนื้อขึ้นไปบนดอยภูคา และได้พบกับไข่ 2 ฟองที่มีขนาดใหญ่เท่าลูกมะพร้าว
จึงได้นำไข่ดังกล่าวมาถวายพระยาภูคา ซึ่งก็ทรงโปรดฯ ให้นำฟองหนึ่งไปใส่ในกะทอนุ่น อีกฟองหนึ่งใส่ในกะทอฝ้าย ก่อนที่ต่อมาไข่ในกะทอนุ่นจะฟักออกมาเป็นเด็กชาย ตามมาด้วยเด็กชายในกะทอฝ้าย พระยาภูคาก็รักเสมอลูกแท้ ๆ และให้ชื่อคนโตว่าขุนนุ่น และคนน้องว่าขุนฟอง พอทั้งคู่โตมาก็ปรารถนาที่จะมีเมืองเป็นของตัวเอง
พระยาภูคาเมื่อได้ฟังคำปรารถนาของขุนนุ่นและขุนฟอง จึงโปรดฯ ให้ทั้งสองเดินทางไปหาพระยาเถรแต๋งเพื่อขอให้สร้างเมืองให้ พระยาเถรแต๋งจึงพาทั้งคู่ไปที่ริมฝั่งโขงและแบ่งเขตแดนให้ ฝั่งหนึ่งให้เป็นเมืองจันทบุรี (เมืองหลวงพระบาง) มอบแก่ขุนนุ่น อีกฝั่งหนึ่งให้ชื่อว่าวรนคร (เมืองปัว) มอบให้แก่ขุนฟอง ซึ่งพื้นที่วรนครของขุนฟองนี่เองที่จะเป็นที่มาของเมืองน่าน
เมืองปัวได้รับการปกครองสืบมาจากขุนฟอง ล่วงถึงสมัยพระยาการเมือง ประชาชนจากเมืองปัวได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานให้ใกล้กับพระธาตุแช่แห้งมากขึ้น เมืองปัวก็ได้ลดบทบาทลง กระทั่งในสมัยของเจ้าผากอง ก็ได้เกิดการตั้งเมืองใหม่ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการปกครอง
ในช่วงเวลาที่เจ้าผากองปกครองเวียงแช่แห้งได้ 6 ปี ก็ประสบปัญหาภัยแล้ง จึงได้เดินทางย้ายเมืองมาอีกและตั้งเวียงน่านขึ้นมาในปีรางงายซง้า (ตรวจพบว่าไม่ใช่คำมาตรฐาน หากต้องการระบุปีอย่างถูกต้องให้แจ้งเพิ่มเติม) จุลศักราช 730 (พ.ศ. 1913) ซึ่งสาเหตุที่เลือกตรงนี้นั้น
มีเล่ากันเพิ่มเติมว่าเจ้าผากองทรงมีพระสุบินเห็นโคอุสุภราชวิ่งข้ามแม่น้ำน่านไปฝั่งตะวันตก และถ่ายมูลไว้เป็นหลักเขตแนวกำแพงเมือง ซึ่งเจ้าผากองก็เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นว่ามีพื้นที่นั้นอยู่จริงตามในฝัน จึงโปรดให้ตั้งเมืองขึ้นที่บริเวณดังกล่าว ที่เดิมชื่อว่าห้วยไคร้นั้น ให้เป็นเมืองนันทบุรี หรือเมืองน่าน
เรื่องราวของโคอุสุภราชในตำนานดังกล่าวจึงเป็นที่มาของตราประจำจังหวัดน่านสืบมานี่เอง
⭐ จากล้านนาถึงพม่า
น่านถูกรุกรานโดยเชียงใหม่ซึ่งนำโดยพระเจ้าติโลกราช ทำให้น่านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา ซึ่งทางเชียงใหม่ได้ทำการปกครองน่านด้วยวิธีการส่งเจ้าเมืองไปเป็นผู้ปกครองซึ่งก็มีการผลัดเปลี่ยนเรื่อยมา ซึ่งตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของล้านนา น่านก็ได้รับเอาวิทยาการต่าง ๆ มากมายเข้าไปยังภายในอาณาจักร เดิมทีนั้นอิทธิพลทางวัฒนธรรมและศิลปกรรมของน่านจะได้รับมาจากทางฝั่งสุโขทัย แต่พอได้เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของล้านนาแล้ว น่านก็ได้รับเอาอิทธิพลต่าง ๆ จากทางฝั่งล้านนาเข้ามาแทน
ต่อมาในสมัยหลัง ล้านนาก็ถูกเข้าตีโดยพระเจ้าบุเรงนองและตกเป็นประเทศราชของพม่า ทำให้น่านตกเป็นประเทศราชตามด้วย ซึ่งเจ้าเมืองน่านในขณะนั้นก็ได้ลี้ภัยไปยังล้านช้าง พม่าจึงสถาปนาเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นมาแทน น่านภายใต้การปกครองของพม่ามีความพยายามที่จะก่อจลาจลขึ้นมาเสียหลายครั้งเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระแต่กลับพ่ายทุกครั้งไป
⭐ “เกลือ” ทรัพยากรเมืองน่านที่ต่างอาณาจักรแย่งชิง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้น่านเป็นที่หมายตาโดยพระเจ้าติโลกราชนั้นก็เนื่องมาจากทรัพยากรอย่างหนึ่งที่ไม่มีในอาณาจักรล้านนามาแต่เดิม นั่นก็คือเกลือธรรมชาติที่อำเภอบ่อเกลือในปัจจุบัน เป็นเกลือภูเขาแห่งเดียวในพื้นที่ของไทย และน่านก็ใช้เกลือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการค้าขายและติดต่อเจรจากับอาณาจักรอื่น ๆ นี่เองที่ทำให้เศรษฐกิจของน่านในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างเข้มแข็งก่อนที่จะตกไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในภายหลัง
น่านเลือกที่จะทำการผูกสัมพันธไมตรีกับสุโขทัยและพึ่งพาสุโขทัยในช่วงก่อนล้านนา เนื่องจากสุโขทัยนั้นอยู่ทางใต้ และมีการค้าทางน้ำออกไปสู่ทะเล การค้าเกลือกับสุโขทัยจึงมีลักษณะของการเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจของน่านออกไป
เกลือเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ทั้งปรุงและถนอมอาหาร นั่นเองในสงครามอยุธยา-ล้านนา พระเจ้าติโลกราชถึงได้ทำการยึดเมืองน่านซึ่งก็มีการค้าขายเกลือลงไปสู่อยุธยาไว้ และผูกขาดตลาดเกลือเอาไว้เอง เมื่อขาดเกลือ อยุธยาก็ประสบปัญหา พระบรมไตรโลกนาถก็ต้องหันไปพึ่งพาทางอื่น นั่นก็คือเกลือสมุทร ซึ่งในยุคก่อนหน้านั้นยังไม่มีใครทำ และได้ไปลอบเรียนรู้วิธีการทำเกลือสมุทรจากชาวจีนจนสำเร็จ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าอยุธยาจะไม่ได้พึ่งพาเกลือภูเขาจากน่านอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นทรัพยากรสำคัญของดินแดนทางตอนเหนือ ทั้งในล้านนาและล้านช้าง ดังที่ปรากฏว่าในสมัยของเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (ผู้แต่งพงศาวดารเมืองน่าน) ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 ของรัตนโกสินทร์ มีชาวฝรั่งเศสส่งคนมาขโมยเกลือด้วยเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าเมืองน่านยังคงมีบทบาทในฐานะของผู้ค้าเกลือในแผ่นดินทางตอนเหนืออยู่
⭐ ประเทศราชใต้นามสยามรัฐ
น่านได้หลุดจากการปกครองพม่าหลังจากที่กองทัพของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ในพงศาวดารเรียกพระยานคร) เสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเจ้าเมืองอย่างพระยาวิธูรและครอบครัวก็ถูกจับลงมายังธนบุรี เมืองน่านจึงไร้ผู้ปกครองและถูกกวาดต้อนผู้คนไปเมืองอื่นจนร้างไป
อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ทรงโปรดให้บุตรชายของพระยาวิธูรคือเจ้าจันทปโชติ ขึ้นเป็นพระยามงคลวรยศไปเป็นเจ้าเสวยเมืองน่านแทน ก่อนที่จะเสียน่านไปในสงครามเก้าทัพ กระทั่งในสมัยถัดมา คือสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ ก็ได้ปลีกตัวพร้อมกับเจ้าเมืองเหนือทั้งหลายลงมาสวามิภักดิ์กับสยาม นับแต่นั้นมากษัตริย์สยามก็โปรดฯ รับรองสถานะประเทศราช และให้เกียรติเจ้าเมืองในฐานะของกษัตริย์ประเทศราชด้วย
โดยในช่วงนี้น่านได้มีการย้ายเมืองช่วงหนึ่งจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ไปที่ดงพระเนตรช้าง ก่อนที่จะย้ายกลับมายังเวียงน่านเดิมและบูรณะใหม่ มีการสร้างคุ้มแก้วและหอคำ เป็นที่ประทับและเป็นศูนย์กลางการปกครองของน่านตลอดระยะเวลาที่เป็นประเทศราชด้วย น่านปกครองด้วยเจ้าเมืองจนมาถึงสมัยของมหาอำมาตย์โท เจ้าพระยามหาพรหมสุรธาดา และเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารบ้านเมืองใหม่ และมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลแทน
⭐ น่านในปัจจุบันสมัย จากบ่อเกลือถึงภาคเกษตรและการท่องเที่ยว
ในอดีตน่านมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจในฐานะของผู้ถือครองบ่อเกลือภูเขาในยุคสมัยที่ผู้คนในภูมิภาคยังไม่รู้จักการทำเกลือสมุทร อย่างไรก็ดี เมื่อคนในภูมิภาคนี้รู้จักการผลิตเกลือสมุทร ทำให้บทบาทสำคัญของน่านที่มีต่อกลุ่มอาณาจักรที่มีอาณาเขตติดทะเลเริ่มลดลงไป
แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้น่านก็ยังมีทรัพยากรอื่น ๆ ที่เป็นจุดขายและเป็นแหล่งรายได้ที่เปลี่ยนไปจากในอดีตที่มีการค้าเกลือและงาช้างเป็นหลัก
น่านมีทรัพยากรป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากถึง 85% ของพื้นที่ ตลอดจนเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติถึง 7 แห่ง คือ ดอยภูคา ขุนน่าน ขุนสถาน แม่จริม นันทบุรี ศรีน่าน และถ้ำสะเกิน ซึ่งด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้ทำให้การเกษตรเป็นอีกหนึ่งอาชีพหลักของชาวน่าน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เน้นไปที่การปลูกพืชไร่เป็นหลัก แม่นาข้าวกับสวนผลไม้ในอัตราส่วนรองลงมา
อีกทั้งยังมีภาคอุตสาหกรรมอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปผลิตผลจากพืช ไปจนถึงอุตสาหกรรมอโลหะ และการแปรรูปไม้ อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจังหวัดน่าเที่ยวที่ถึงแม้จะเป็นเมืองรองแต่ก็เต็มไปด้วยสถานที่มากมายที่ดึงดูดให้ใครหลายคนเดินทางมาด้วย
#สุดโปรด #ประวัติศาสตร์ #ไทย #น่าน #เศรษฐกิจ #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
โฆษณา