Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หุ้นปันปัน
•
ติดตาม
5 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ
จักรวาล BTS: รถไฟฟ้าที่ยังหลงทางกว่า 20 ปี
ย้อนกลับไปปี 2542 ตอน “รถไฟฟ้าบีทีเอส” เปิดใหม่ ๆ
คนส่วนใหญ่เชื่อว่านี่คือ “อนาคตของกรุงเทพฯ”
ระบบขนส่งที่ทันสมัย และเป็นความหวังใหม่ของคนเมือง
และบริษัทเจ้าของก็คือ “ธนายง” (TYONG) ชื่อที่แทบไม่มีใครรู้ว่า คือรากฐานของ BTS Group Holdings ในปัจจุบัน
และความจริงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ รถไฟฟ้า BTS ไม่เคยมีกำไรเลยในช่วงหลายปีแรก
ผู้โดยสารต่ำกว่าประมาณการ หนี้สินสูง รัฐบาลไม่อุ้ม จนเคยมีช่วงที่ตลาดตั้งคำถามจริง ๆ ว่า
“BTS จะรอดไหม?”
ปี 2551 บริษัทรีแบรนด์เป็น BTS Group Holdings พร้อมตัดสินใจดึงกิจการเดินรถ (BTSC) เข้ามาอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน เพื่อทำให้งบดูแข็งแรงขึ้น
งบดีขึ้นจริง แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่ากำลังจะเริ่ม
จากรถไฟฟ้า → Conglomerate Mindset
มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ BTS มี “อิสระทางการเงิน” มากผิดปกติ และเป็นต้นทางของพฤติกรรมการลงทุนในทศวรรษถัดมา
ปี 2556 BTS ตัดสินใจขาย สิทธิการรับรายได้ค่าโดยสารในอนาคต 17 ปี ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก ให้กับกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF
ดีลนี้ทำให้ BTS ได้รับ เงินสดก้อนมหาศาลในทันที งบดุลแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาพคล่องล้นระบบ และหนี้อยู่ในระดับต่ำ
ในเชิงการเงิน — นี่คือดีลที่ฉลาด และทำให้ BTS ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในหุ้นโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงที่สุดของตลาดไทยในเวลานั้น
แต่ในเชิงพฤติกรรมองค์กร นี่คือจุดที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน
จากบริษัทโครงสร้างพื้นฐาน ที่ควรโฟกัสความมั่นคงและวินัยการลงทุน BTS กลายเป็นบริษัทที่มีเงินสดเหลือมือจำนวนมาก โดยไม่มีกรอบชัดเจนว่า “ไม่ควรลงทุนอะไร”
เงินเหลือ = ต้องหาที่ลง นี่คือจุดเริ่มต้นของ mindset แบบ conglomerate ที่กลายเป็นรากของปัญหาในอีก 10 ปีถัดมา
ดีลแรกที่พาออกนอกเส้นทาง: N-PARK → U City
ปี 2558 BTS ทำดีลแลกทรัพย์กับ N-PARK และเข้าถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น U City (U)
แนวคิดบนกระดาษฟังดูดีมาก
โรงแรม
ที่ดินบน Prime Location
อสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
แต่ความจริงคือ BTS ไม่ได้มี DNA ด้านอสังหาฯ
U City กลายเป็นหลุมดำทางการเงิน ดูดเงินสดต่อเนื่อง และไม่เคยสร้างผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลได้เลย
และเมื่อเริ่มเสียเงินจากสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญ บริษัทมีทางเลือกแค่สองทาง:
หยุด
หรือ ดันทุรัง
BTS เลือกอย่างหลัง
วังวนการลงทุนที่ไม่สร้างมูลค่า
จาก U City → BTS ขยายจักรวาลไปสู่ Media / Payment / Lifestyle ผ่าน VGI, Rabbit และบริษัทย่อยต่าง ๆ
พร้อมใช้โครงสร้างเหล่านี้ ไปผูกดีลกับกลุ่มธุรกิจอื่น โดยเฉพาะ JMART / JMT / SINGER
ช่วงนั้นคือยุคดอกไม้บานของหุ้นเครดิต ทุกอย่างดูดีบนกราฟ
แต่เมื่อวงจรเครดิตตึง NPL เพิ่ม ราคาหุ้นร่วง
BTS กลายเป็นผู้รับแรงกระแทกเต็ม ๆ
STARK — ดีลที่ทำลายความเชื่อมั่น
แม้ขาดทุนทางบัญชีเพียง ~300 ล้านบาท แต่ดีล STARK สร้างคำถามที่ใหญ่กว่านั้นมาก:
“บริษัทขนาดนี้ ไม่มีระบบคัดกรองดีลเลยหรือ?”
ในวันที่แม้แต่ PTT ยังไม่แตะ BTS กลับกระโดดลงไป
ตั้งแต่นั้นมา ตลาดเริ่มเห็นตรงกันว่า BTS ไม่ได้เก่งด้านการลงทุน
KEX — หลุมลึก 4,363 ล้านบาท
ปี 2567 BTS ต้องตั้งด้อยค่า KEX มูลค่ารวม 4,363 ล้านบาท
นี่คือการขาดทุนหนักที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และเป็นดีลที่สะท้อนชัดว่า
โมเดลธุรกิจเปลี่ยน
อุตสาหกรรมไม่เหมือนเดิม
และ BTS ถือของผิดจังหวะ
เงินสดที่เคยล้นระบบ หายไปกับดีลเหล่านี้
สุดท้ายทางเลือกเดียวที่เหลือคือ การเพิ่มทุน
Part 1 คืออดีตที่ทำให้ BTS มาถึงจุดนี้
แต่ Part 2 คือภาพปัจจุบันที่นักลงทุนต้องตัดสินใจจริง
ใน Part 2 เราจะไปดู:
ภาพการเงินที่ซ่อนอยู่หลังงบสวย ๆ
พอร์ตลงทุนที่ยังจมอยู่ใต้น้ำ และอะไรคือความเสี่ยงจริงในงบถัดไป
ทำไมแม้โครงสร้างการเงินจะดีขึ้น แต่ราคาหุ้นยังไม่ฟื้น
และเหตุผลสำคัญว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ไม่ให้โอกาสแบบเดิมอีกแล้ว
📌 Part 2 อ่านได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น
เพราะนี่ไม่ใช่เนื้อหาสำหรับคนอยากฟัง Story
แต่นี่คือเนื้อหาสำหรับคนที่อยาก อยู่รอดในตลาดจริง
ถ้าคุณอยากเข้าใจตลาดไทยแบบครบเครื่อง
ไม่ใช่แค่รู้ว่า “เกิดอะไรขึ้น” แต่รู้ว่า ควรทำยังไงต่อ
สมาชิกคือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ที่สุด
#BTS #หุ้นไทย #ตลาดทุนไทย #ลงทุนให้รอดไม่ใช่แค่รวย #หุ้นปันปัน
ธุรกิจ
ไลฟ์สไตล์
การลงทุน
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย