21 ธ.ค. เวลา 11:22 • ประวัติศาสตร์

“โยฮัน เดอ วิตต์ (Johan de Witt)” นักการเมืองผู้ถูกประชาชนรุมสังหารและกินเนื้อ

ในสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ “โยฮัน เดอ วิตต์ (Johan de Witt)“ หนึ่งในนัการเมืองที่เป็นที่รักยิ่งที่สุดคนหนึ่ง ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงที่พายุแห่งความขัดแย้งกำลังเริ่มก่อตัว
แต่แล้วชีวิตที่เคยรุ่งเรือง ก็กลับถูกทำลายลงด้วยความตายอันน่าสยดสยอง ซึ่งผู้ที่ลงมือสังหารเขาก็คือประชาชนที่เขาเคยรับใช้และรักนักหนานั่นเอง
นี่คือเรื่องราวของชายผู้ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด ก่อนจะร่วงหล่นลงมาอย่างไม่เป็นท่า
เรื่องราวเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
โยฮัน เดอ วิตต์ (Johan de Witt)
โยฮัน เดอ วิตต์ เกิดในปีค.ศ.1625 (พ.ศ.2168) ณ เมืองดอร์เดรชต์ ที่ซึ่งสายน้ำไหลพาดผ่านเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงสาธารณรัฐดัตช์
บิดาของโยฮันเป็นนายกเทศมนตรีผู้ทรงเกียรติและยึดมั่นในหลักการ เขาได้ปลูกฝังคุณธรรมและความเป็นผู้นำ รวมทั้งความซื่อสัตย์แก่บุตรชาย โดยตั้งแต่วัยเยาว์ โยฮันได้ฉายแววสติปัญญาที่เฉียบแหลม โดยเฉพาะในด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งโยฮันนั้นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ถึงขนาดที่เขียนตำราด้านเรขาคณิตวิเคราะห์เล่มแรกๆ ขึ้นมา
ในช่วงวัยหนุ่ม โยฮันได้ซึมซับบรรยากาศทางการเมืองรอบตัว ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งระหว่าง “ราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา (House of Orange-Nassau)“ และอุดมการณ์สาธารณรัฐของกลุ่มชนชั้นพ่อค้ากำลังคุกรุ่น
1
โยฮันนั้นเป็นคนหัวก้าวหน้า และดำเนินตามรอยเท้าพ่อของเขาด้วยการคัดค้านระบอบกษัตริย์อย่างแข็งกร้าว และเข้าร่วมกับขบวนการสาธารณรัฐที่กำลังเติบโต
เมื่ออายุได้ 28 ปี โยฮันได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง "หัวหน้าคณะที่ปรึกษาแห่งฮอลแลนด์ (Councilor Pensionary of Holland)“ ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เขาเป็นผู้นำทางการเมืองสูงสุด
ภายใต้การนำของโยฮัน เนเธอร์แลนด์ได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดและเข้าสู่ยุคทอง กรุงอัมสเตอร์ดัมได้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และท้องทะเลก็ถูกครอบครองโดย “บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Dutch East India Company)” สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้กับประเทศ
โยฮันนั้นเป็นผู้รักสันติภาพ เขาเป็นผู้เจรจาสงบศึกใน “สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สอง (Second Anglo-Dutch War)” พร้อมกับพยายามรักษาสมดุลอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในสาธารณรัฐดัตช์ไว้อย่างเหนียวแน่น
แต่ท่ามกลางความสำเร็จนั้น ความขัดแย้งก็กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
1
สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สอง (Second Anglo-Dutch War)
แม้โยฮันจะเก่งกาจด้านการทูต แต่เขากลับละเลยในเรื่องสำคัญ นั่นคือความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างกองทัพบกที่แข็งแกร่ง พัฒนากองทัพ และความผิดพลาดนี้จะกลับมาหลอกหลอนเขาเมื่อภูมิทัศน์ทางการเมืองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในปีค.ศ.1672 (พ.ศ.2215)
ในที่สุด เมฆหมอกแห่งสงครามก็เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส (Louis XIV)” ทรงประกาศสงครามกับสาธารณรัฐดัตช์ และเป็นตัวจุดชนวนเหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดจบของโยฮัน
เมื่อกองทัพฝรั่งเศสรุกราน ฝ่ายดัตช์ก็ตั้งตัวไม่ติด กองทัพเรือที่เคยเกรียงไกรไม่อาจชดเชยช่องโหว่ของกองทัพบกที่ขาดการเตรียมพร้อมได้
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส (Louis XIV)
เมืองแล้วเมืองเล่าต้องปราชัยให้กับการโจมตีของฝรั่งเศส ขวัญกำลังใจของชาวดัตช์ก็เริ่มเสื่อมถอย และโยฮัน ชายที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่อง บัดนี้กลับถูกมองว่าเป็นผู้นำที่พาชาติไปสู่หายนะ
หลังการรุกรานจากต่างชาติสิ้นสุด ความอดทนของสาธารณชนชาวดัตช์ที่มีต่อโยฮันก็เริ่มจะหมด ความคับแค้นใจจากความสูญเสียทำให้ประชาชนเริ่มมองหาใครสักคนเพื่อมารับผิด และโยฮันก็กลายเป็นเป้าโจมตีจากแรงโทสะของประชาชน
เสียงก่นด่าแห่งความไม่พอใจทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำก็ดังกึกก้องไปตามท้องถนน
และแล้ว “พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)” ซึ่งมาจากราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา ก็ปรากฏองค์
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ได้กลายเป็นความหวังของเหล่าผู้ที่โหยหาผู้นำที่เข้มแข็ง และเมื่อประชาชนหันไปผนึกกำลังสนับสนุนพระองค์ สถานการณ์ของโยฮันก็เรียกได้ว่าวิกฤต
“คอร์เนลิส เดอ วิตต์ (Cornelis de Witt)” พี่ชายของโยฮัน ก็ถูกจับกุมในข้อหาขายชาติ และสองพี่น้องตระกูลเดอ วิตต์ ก็พบว่าตนเองตกอยู่ในกำมือของฝูงชนที่บ้าคลั่ง
ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1672 (พ.ศ.2215) โยฮันได้ตัดสินใจไปเยี่ยมพี่ชายในคุก แต่เขาไม่รู้เลยว่ามีกลุ่มฝูงชนกำลังรอรุมประชาทัณฑ์ตนอยู่
เรือนจำเกวานเกนพอร์ตในกรุงเฮก ได้กลายเป็นฉากหลังของหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยทันทีที่โยฮันก้าวเข้าไป คลื่นแห่งความรุนแรงก็ปะทุขึ้น ฝูงชนที่เปี่ยมด้วยความโกรธแค้นและฮึกเหิมด้วยความเชื่อว่าพวกตนกำลังทวงคืนความยุติธรรม ได้โถมทะลักเข้ามาในเรือนจำ ลากทั้งโยฮันและคอร์เนลิสออกมาจากเรือนจำ
คอร์เนลิส เดอ วิตต์ (Cornelis de Witt)
มีบันทึกว่าเหล่าฝูงชนได้เข้าทำร้ายสองพี่น้อง โดยแต่ละคนนั้นมีอาวุธครบมือ ไม่ว่าจะเป็น ปืน ค้อนปอนด์ มีด หรือดาบ
และเมื่อไม่มีทหารยามคอยระงับเหตุ ฝูงชนผู้บ้าคลั่งก็ปลดปล่อยโทสะออกมาอย่างเต็มที่ และสองพี่น้องก็ต้องเผชิญกับความรุนแรงที่เกินกว่าจะจินตนาการได้
ฝูงชนได้รุมฉีกทึ้งร่างของสองพี่น้อง รุมทำร้ายจนทั้งสองเสียชีวิต และมีการนำชิ้นส่วนเนื้อของสองพี่น้องเดอ วิตต์ ออกมาเร่ขายตามท้องถนนราวกับว่าเป็นเพียงสินค้าหนึ่ง
ชะตากรรมอันวิปริตนี้คือจุดจบของผู้นำที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมด้วยอนาคต ชายผู้ซึ่งความทุ่มเทต่อประเทศชาติกลับกลายมาเป็นหอกที่ทิ่มแทงตนเองอย่างน่าสลดใจ ประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยยกย่องเชิดชูโยฮัน บัดนี้ได้สังหารเขาอย่างโหดเหี้ยม
ในปัจจุบัน ยังคงมีอนุสาวรีย์ของโยฮัน เดอ วิตต์ ตั้งตระหง่านอยู่ในเนเธอร์แลนด์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่ชายผู้ซึ่งชีวิตต้องถูกตัดตอนลงอย่างน่าสลดใจ และอนุสาวรีย์นี้ยังทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงภัยอันตรายนานัปการที่มาพร้อมกับการเป็นผู้นำ และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากระบบการเมือง
เรื่องราวของโยฮันช่วยกระตุ้นให้ผู้คนขบคิดถึงเส้นแบ่งอันบางเบาระหว่างการเป็น "ผู้ปกครอง" กับการตกเป็น "เบี้ยล่าง" ของมวลชน
อาจจะกล่าวได้ว่า เรื่องราวของโยฮันคือคำเตือนว่าทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเพียงใด และผู้นำที่เป็นที่รักของมวลชนกลับกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนเหล่านั้นได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของโยฮัน เดอ วิตต์ คือบทสรุปของแนวคิดเรื่องอำนาจ ความทุ่มเท และจิตวิทยามวลชนในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด และแนวคิดเหล่านี้ย่อมถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์อย่างไม่อาจลบเลือน
โฆษณา