Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ด.ดล Blog
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
8 ชั่วโมงที่แล้ว • ยานยนต์
ทำไม Suzuki ถึงพิชิตอินเดีย? บทเรียนธุรกิจการร่วมทุนข้ามชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุด
ผมว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบกันนะครับว่า ในประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างอินเดีย มีรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งที่ครองส่วนแบ่งตลาดเกินครึ่งมาอย่างยาวนาน
ไม่ใช่ Toyota
ไม่ใช่ Honda
และไม่ใช่เจ้าตลาดจากฝั่งตะวันตกอย่าง Ford หรือ Volkswagen
แต่กลับเป็นแบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นที่เริ่มต้นธุรกิจจากการทำเครื่องทอผ้าอย่าง Suzuki
คำถามที่น่าสนใจคือ บริษัทที่ดูเหมือนจะเป็นมวยรองในเวทีโลกรายนี้ ทำอย่างไรถึงสามารถเอาชนะใจคนอินเดียกว่าพันล้านคนได้
…
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970
ภาพของประเทศอินเดียในเวลานั้น ช่างแตกต่างจากภาพของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เราเห็นในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง…
2
อินเดียในยุคนั้นปกครองด้วยระบอบเศรษฐกิจที่เข้มงวด หรือที่หลายคนเรียกกันว่ายุค License Raj
รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การออกใบอนุญาตผลิตสินค้า ไปจนถึงการกำหนดโควตาว่าโรงงานแต่ละแห่งจะผลิตได้กี่ชิ้น
สภาพเศรษฐกิจแบบปิดทำให้ถนนหนทางของอินเดียมีรถยนต์วิ่งอยู่เพียงไม่กี่รุ่น
และเจ้าถนนในเวลานั้นก็คือ Hindustan Ambassador รถยนต์รูปทรงโบราณที่ดัดแปลงมาจากรถอังกฤษ
ว่ากันว่ารถรุ่นนี้มีความแข็งแกร่งไม่ต่างจากรถถัง แต่มันมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้าหลัง กินน้ำมัน และขับขี่ได้ยากลำบาก…
สำหรับคนอินเดียทั่วไป การเป็นเจ้าของรถยนต์สักคันในยุคนั้นแทบจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน
รถยนต์ถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นของเล่นสำหรับคนรวย หรือไม่ก็เป็นพาหนะประจำตำแหน่งของข้าราชการระดับสูงเท่านั้น
คนส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพารถสกู๊ตเตอร์ รถประจำทางที่แออัด หรือไม่ก็การเดินเท้าเพื่อไปทำงาน
แต่ท่ามกลางความขาดแคลนนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งมองเห็นสิ่งที่ต่างออกไป
เขาชื่อ Sanjay Gandhi
Sanjay ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาคือบุตรชายของ Indira Gandhi นายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กของอินเดียในขณะนั้น
เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน
เขาอยากสร้าง “People’s Car” หรือรถยนต์สำหรับประชาชน ให้เหมือนกับที่ Volkswagen Beetle เคยทำสำเร็จมาแล้วในเยอรมนี
เขาอยากเห็นภาพของครอบครัวชาวอินเดียชนชั้นกลาง พ่อ แม่ และลูกๆ นั่งอยู่ในรถเก๋งคันเล็กๆ ที่กันแดดกันฝนได้ แทนที่จะต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์เสี่ยงอันตรายไปตามท้องถนน
ความฝันนี้นำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Maruti Limited ขึ้นในปี 1971…
ชื่อ Maruti นั้นมีความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะเป็นอีกพระนามหนึ่งของหนุมาน เทพเจ้าแห่งพละกำลังและความว่องไวตามความเชื่อของฮินดู
แต่เส้นทางของ Maruti Limited ในช่วงเริ่มต้นนั้น กลับไม่ได้ว่องไวเหมือนชื่อเทพเจ้า
แม้จะมีบารมีทางการเมืองหนุนหลัง แต่ Sanjay ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์มาก่อน
รถต้นแบบที่เขาสร้างขึ้นมาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์
บริษัทขาดทุนสะสม โครงการเดินหน้าไปอย่างล่าช้า และดูเหมือนว่าความฝันที่จะให้คนอินเดียมีรถขับกำลังจะเลือนหายไป
และแล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็เกิดขึ้น
แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่มาพร้อมกับความโศกเศร้า
ในปี 1980 Sanjay Gandhi ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตอย่างกะทันหัน…
การจากไปของเขาทิ้งให้ Maruti Limited ตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศ
โครงการรถยนต์แห่งชาติที่ยังตั้งไข่ไม่ได้ กำลังจะล่มสลายไปพร้อมกับเจ้าของความฝัน
1
แต่ผู้เป็นแม่อย่าง Indira Gandhi ตัดสินใจเด็ดขาดว่า ความฝันของลูกชายจะต้องไม่ตายไปพร้อมกับเขา
รัฐบาลอินเดียตัดสินใจเข้าอุ้มกิจการ Maruti Limited และเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นรัฐวิสาหกิจ
โจทย์ใหญ่ที่สุดในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่เป็นเรื่อง “เทคโนโลยี”
อินเดียรู้ตัวดีว่าลำพังความรู้ที่มีอยู่ ไม่สามารถสร้างรถยนต์ที่มีคุณภาพได้
รัฐบาลอินเดียจึงเริ่มออกเดินทางไปทั่วโลก เพื่อมองหา “พันธมิตร” ที่จะเข้ามากอบกู้ความฝันนี้
คณะทำงานของอินเดียเดินทางไปเคาะประตูบ้านบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทุกเจ้า
พวกเขาบินไปยุโรปเพื่อคุยกับ Volkswagen
พวกเขาบินไปญี่ปุ่นเพื่อเจรจากับ Toyota และ Nissan
แต่เชื่อไหมว่า คำตอบที่ได้รับกลับมาแทบจะเหมือนกันหมดคือ “ไม่สนใจ”
ผู้บริหารระดับสูงของค่ายรถเหล่านั้นมองว่า อินเดียเป็นตลาดที่ไม่มีกำลังซื้อ
พวกเขามองเห็นแต่อุปสรรค กฎระเบียบที่ยุ่งยาก และความเสี่ยงที่จะขาดทุน
ใครจะกล้าเอาเงินไปลงทุนมหาศาล ในประเทศที่คนส่วนใหญ่ยังยากจนและถนนหนทางยังไม่พร้อม
ในขณะที่ตัวเลือกต่างๆ เริ่มหมดลง และความหวังเริ่มริบหรี่
ชายคนหนึ่งจากเมืองฮามามัตสึ ประเทศญี่ปุ่น ก็ก้าวเข้ามาในสมการนี้
เขาคือ Osamu Suzuki
ในเวลานั้น Suzuki Motor Corporation ไม่ใช่เบอร์หนึ่งในญี่ปุ่น
สถานะของพวกเขาเป็นรองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Honda อยู่หลายขุม
1
แต่สิ่งที่ Osamu Suzuki มีมากกว่าคนอื่น คือ “วิสัยทัศน์” ที่แตกต่าง
2
ในขณะที่คนอื่นมองเห็น “ความยากจน” ของคนอินเดีย แต่ Osamu มองเห็น “จำนวน” ของผู้คน
เขาวิเคราะห์ว่าตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่นและโลกตะวันตกเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว การจะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากเจ้าถิ่นนั้นเป็นเรื่องยากและใช้ต้นทุนสูง
แต่ถ้าเขาสามารถเข้าไปยึดครองตลาดใหม่ที่ยังไม่มีใครสนใจ เขาอาจจะกลายเป็นราชาที่นั่นได้
ทันทีที่ทราบข่าวว่ารัฐบาลอินเดียกำลังมองหาพันธมิตร Osamu Suzuki ไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสนี้
เขาบินตรงไปยังอินเดียและเข้าพบกับคณะทำงานด้วยตัวเอง
สิ่งที่ Suzuki เสนอให้กับรัฐบาลอินเดีย ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์
แต่เป็นความจริงใจ และความเข้าใจในวัฒนธรรมเอเชียที่คล้ายคลึงกัน
1
Osamu Suzuki รู้ดีว่ารถที่คนอินเดียต้องการ ไม่ใช่รถหรูหราที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย
1
แต่ต้องเป็นรถที่ทนทาน ซ่อมง่าย และที่สำคัญที่สุดคือ “ราคาถูก”
ในปี 1982 ข้อตกลงประวัติศาสตร์จึงเกิดขึ้น
บริษัทร่วมทุนชื่อ Maruti Udyog Limited จึงถือกำเนิดขึ้น โดยรัฐบาลอินเดียถือหุ้นใหญ่ และ Suzuki ถือหุ้นส่วนน้อยในตอนแรก
นี่คือการจับคู่ที่ดูแปลกประหลาดที่สุดในยุคนั้น
รัฐบาลสังคมนิยมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเชื่องช้า ต้องมาทำงานร่วมกับบริษัทเอกชนญี่ปุ่นที่เน้นประสิทธิภาพและความรวดเร็ว
หลายคนปรามาสว่าดีลนี้คงไปไม่รอด
แต่วันที่ 14 ธันวาคม ปี 1983 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอินเดียก็ถูกเขียนขึ้น…
ในวันนั้น นายกรัฐมนตรี Indira Gandhi ได้ส่งมอบกุญแจรถคันแรกให้กับลูกค้า
มันคือรถรุ่น Maruti 800
Maruti 800 พัฒนามาจาก Suzuki Alto รุ่น SS80 มันเป็นรถคันเล็ก รูปทรงกล่อง ดีไซน์เรียบง่าย
แต่มันมีสิ่งที่รถรุ่นเก่าอย่าง Hindustan Ambassador ไม่มี
นั่นคือ ความประหยัดน้ำมัน ความคล่องตัว แอร์ที่เย็นฉ่ำ และราคาที่จับต้องได้
Maruti 800 เปิดตัวด้วยราคาที่ทำให้ชนชั้นกลางต้องหันขวับ
มันถูกตั้งราคาไว้ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดเกือบเท่าตัว ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างไม่มีใครเทียบได้
ทันทีที่วางขาย ปรากฏการณ์ Maruti ก็เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ยอดจองถล่มทลายจนผลิตไม่ทัน คิวจองยาวเหยียดไปหลายเดือน
2
มีเรื่องเล่าว่า บางคนถึงขั้นยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะจำนวนมาก เพื่อที่จะได้รถเร็วขึ้น
Maruti 800 ไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเลื่อนสถานะทางสังคม
มันเปลี่ยนวิถีชีวิตของครอบครัวชาวอินเดียไปตลอดกาล
ลองจินตนาการถึงภาพครอบครัวที่ไม่เคยมีรถส่วนตัวมาก่อน วันหยุดสุดสัปดาห์พวกเขาสามารถขับรถพาพ่อแม่และลูกๆ ไปเที่ยวต่างเมืองได้
1
ไม่ต้องเบียดเสียดบนรถเมล์ ไม่ต้องตากฝนบนมอเตอร์ไซค์
1
อิสรภาพในการเดินทางที่ Maruti มอบให้ คือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้…
1
จากความสำเร็จของรุ่น 800 Suzuki ไม่หยุดแค่นั้น
พวกเขาเดินหน้าต่อด้วยโมเดลรุ่นอื่นๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
Maruti Omni รถตู้คันเล็กที่กลายเป็นขวัญใจพ่อค้าแม่ค้า และกลายเป็นภาพจำในฐานะรถสารพัดประโยชน์
Maruti Gypsy รถออฟโรดที่แข็งแกร่ง จนกลายเป็นรถคู่ใจของกองทัพและตำรวจอินเดีย
แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้ Suzuki ยึดครองอินเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่ตัวรถ
มันคือกลยุทธ์ “Localization” หรือการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุด
Suzuki เข้ามาสร้างโรงงานและพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในท้องถิ่นอย่างจริงจัง
สิ่งนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตของ Maruti Suzuki ต่ำจนคู่แข่งหน้าไหนก็สู้ไม่ได้
เมื่ออินเดียเริ่มเปิดประเทศในช่วงทศวรรษ 1990 และค่ายรถต่างชาติเริ่มตบเท้าเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็น Hyundai จากเกาหลี หรือแม้แต่ค่ายรถหรูจากยุโรป
ทุกคนต่างต้องมาเจอกับกำแพงราคาที่ Maruti สร้างไว้
นอกจากราคาแล้ว สิ่งที่ Suzuki สร้างไว้อย่างแข็งแกร่งคือ “เครือข่ายศูนย์บริการ”
ในอินเดียมีคำกล่าวที่ว่า “คุณสามารถหาอะไหล่ Maruti ได้ง่ายกว่าหาขวดยาแก้ปวดเสียอีก”
ไม่ว่าคุณจะขับรถไปในหมู่บ้านที่ห่างไกลแค่ไหน ช่างซ่อมรถข้างทางทุกคนซ่อมรถยี่ห้อนี้เป็น
ความไว้วางใจนี้เอง ที่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Maruti Suzuki พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 50%
ลองคิดดูเล่นๆ ว่า รถยนต์ 100 คันที่วิ่งบนถนนในอินเดีย 50 คันคือยี่ห้อเดียว
นี่คือตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อในโลกทุนนิยมเสรี
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี Maruti Suzuki กลายเป็นแบรนด์ที่ผูกพันกับคนอินเดียอย่างลึกซึ้ง
คนรุ่นพ่อขับ Maruti 800
คนรุ่นลูกขับ Maruti Swift
มันกลายเป็นแบรนด์แรกที่คนอินเดียนึกถึงเมื่อคิดจะซื้อรถ…
แม้ว่าในปัจจุบัน Maruti Suzuki จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ
ทั้งการมาของรถยนต์ไฟฟ้าที่ Tata Motors กำลังเร่งเครื่องทำตลาดอย่างหนัก
หรือรสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหารถ SUV ที่หรูหราและมีเทคโนโลยีทันสมัย มากกว่ารถเก๋งคันเล็กราคาประหยัด
แต่รากฐานที่ Osamu Suzuki และรัฐบาลอินเดียได้ร่วมกันสร้างไว้ ก็ยังคงแข็งแกร่ง
บทเรียนจากเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจซ่อนอยู่ในที่ที่คนอื่นมองข้าม
ในวันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมองข้ามอินเดียเพราะความยากจน
Osamu Suzuki เลือกที่จะมองเห็นความหวังและศักยภาพ
เขาไม่ได้พยายามขายสิ่งที่ตัวเองมี แต่เขาพยายามสร้างสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ
1
จากความฝันของลูกชายนายกรัฐมนตรีที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
สู่การเดิมพันครั้งสำคัญของผู้บริหารชาวญี่ปุ่น
วันนี้ Maruti Suzuki ได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์
แต่พวกเขาคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอินเดีย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
1
และนี่คือตำนานของรถคันเล็ก ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชีย…
References : [marutisuzuki, autocarindia, indiatimes, wikipedia, forbes]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here
https://www.tharadhol.com/why-did-suzuki-conquer-india/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย -->
https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
คลิกเลย -->
https://www.blockdit.com/articles/5cda56f1e5eac0101e278c73
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
Website :
www.tharadhol.com
Blockdit :
www.blockdit.com/tharadhol.blog
Fanpage :
www.facebook.com/tharadhol.blog
Twitter :
www.twitter.com/tharadhol
Instragram :
instragram.com/tharadhol
TikTok :
tiktok.com/@geek.forever
Youtube :
www.youtube.com/c/mrtharadhol
Linkedin :
www.linkedin.com/in/tharadhol
ธุรกิจ
การลงทุน
ญี่ปุ่น
24 บันทึก
31
18
24
31
18
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย